วิเคราะห์เจาะลึก Apple Intelligence จากเปิดตัวยิ่งใหญ่ สู่เครื่องจักรหลังบ้านของ iPhone

THE SUMMARY:

ทุกคนรู้สึกยังไงกับ Apple Intelligence จากงาน WWDC 2025 ครั้งนี้บ้าง เรารู้สึกปีนี้ Apple Intelligence ถูกบังคับให้หลบฉากไป เป็นเครื่องมือเบื้องหลังฟีเจอร์หลาย ๆ อย่างของ iPhone และ OS ตัวใหม่ แล้ว Siri แทบจะหายไปเลยจากงาน ซึ่งเรื่องนี้ก็ตามที่เราเคยวิเคราะห์ไปว่า Siri ต้องใช้เวลารื้อทำใหม่ แม้ว่าจะเอาให้ได้แค่ฟีเจอร์ที่เปิดตัวใน WWDC 2024 ปีที่แล้วก็เถอะ

ชาวเน็ตไทยพูดถึงความล่าช้าของ Apple Intelligence

ซึ่งชาวเน็ตไทยก็พูดถึงความล่าช้าของ Apple Intelligence กันหนาหูอยู่ เราคัดมาได้คร่าว ๆ ก็ดังนี้

  • มองว่าที่ช้าเพราะติดคำว่า “privacy” นี่แหละครับ AI ที่เก่งๆ ในปัจจุบันใช้การประมวลผลผ่าน internet ทั้งนั้น ซึ่ง apple คงมองเรื่อง “privacy” มากกว่า ซึ่งต้องแลกกับการใช้ทรัพยากรในการประมวลผลภายในที่สูง
  • เรื่อง AI apple ต้องหาทางออกแล้วละ เพราะ apple ต้องการความเป็นส่วนตัว ก็เลยไม่ไปยุ่งกับ AI ของเจ้าอื่นๆ อยากพัฒนาเอง แต่ทีม AI ของ apple ก็ไม่ใช่ top ของวงการนี้ไง มันก็เลยตามชาวบ้านเขาไม่ทัน  ส่วนคนใช้งาน เขาก็แค่ “อยากใช้” โดยไม่ได้สนเรื่อง privacy เลย
  • ไม่จำเป็นต้องตาม ai ทุกเจ้าก็ได้ ยังไงๆ เดียวพวกนั้นก็ถวายแอพมาให้บนระบบของ apple อยู่แล้ว เป็นอุปกรณ์ตัวกลางที่ยังคงมาตรฐานเดิมเรื่อง privacy แบบนี้แหละดีกว่า การจะทำออกมาแต่ละ feature apple คิดเรื่องความเป็นส่วนตัวเป็นหลัก แล้วต้องรันได้บนอุปกรณ์ ไม่โม้เหม็นเหมือนพวกหุ่นเขียว ที่เขียน API ไปต่อ Gemini แล้วเคลมว่าทำเอง ที่ user ทั่วไปถึงระดับล่างนึกว่าค่ายนั้นทำได้ เห็นแล้วขำ 
  • การเดินตามลำพังข้อดี สามารถคุมคุณภาพได้แบบที่ต้องการ ข้อเสีย ตามไม่ทันชาวบ้าน เขานำไปไกลแล้ว อย่างคนซื้อเพราะเป็น แอปเปิ้ล
  • Ai มันเก่งจากการ train แต่ apple intelligence ยังไม่ได้ถูกใช้งานมากพอเลย ไม่เก่งเท่า ai ค่ายอื่นๆ

จากงาน WWDC 2025 เราจะได้เห็นแนวทางด้าน AI ของแอปเปิ้ลที่ไม่ได้แข่งกับ ChatGPT หรือ Google Gemini โดยตรง แต่แอปเปิ้ลวางตัวเป็นเจ้าของระบบ แล้วให้ค่าย AI ต่าง ๆ อย่าง ChatGPT เป็น Provider เข้ามาให้บริการลูกค้าแอปเปิ้ล

ทำไมแอปเปิ้ลทำ AI สู้คู่แข่งไม่ได้

แล้วทำไมแอปเปิ้ลทำเองแล้วสู้คู่แข่งไม่ได้ เพราะแนวทางด้านความปลอดภัยของแอปเปิ้ล จึงเน้นการประมวลผล AI ในเครื่องของตัวเอง ไม่เอาข้อมูลผู้ใช้มาใช้เสริมการเรียนรู้ของเอไอ ทำให้การพัฒนา AI ของแอปเปิ้ลทำได้ยากกว่า และช้ากว่าคู่แข่งในตลาด

โดยโมเดล Apple Intelligence ตามข่าวที่ออกมามีความสามารถประมาณ 3,000 ล้านพารามิเตอร์ เทียบกับ ChatGPT-4o ที่มีราว 200,000 ล้านพารามิเตอร์ จะเห็นว่าความสามารถของ GPT-4o แม้จะเป็นตัวเล็กของ OpenAI แล้ว แต่ก็ยังสูงกว่า Apple Intelligence ที่เป็นการประมวลผลในเครื่องมีกำลังน้อยกว่า แรมก็น้อยกว่าแบบเทียบกันไม่ติดเลย

แต่การประมวลผลในเครื่องก็มีข้อดีตรงผู้ใช้ไม่ต้องเสียค่าใช้ AI และใช้งานได้แม้อินเทอร์เน็ตมีปัญหา ซึ่งแอปเปิ้ลได้เปิดให้นักพัฒนาใช้งาน AI ในเครื่องได้ผ่าน Foundation Models framework และยังสามารถเข้าถึง Private Cloud Compute (PCC) หรือเซิร์ฟเวอร์ประมวลผล AI พิเศษที่เป็นส่วนตัวของแอปเปิ้ลได้ เพื่อเสริมความสามารถในการประมวลผลด้านเอไอแต่ยังคงจุดเด่นเรื่องความเป็นส่วนตัว แต่ตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่า PCC จะมีค่าใช้จ่ายในการใช้งานอย่างไรบ้าง

แอปเปิ้ลทำวิจัยบอก AI ปัจจุบันยังไม่เก่ง

The Illusion of Thinking: Understanding the Strengths and Limitations of Reasoning Models via the Lens of Problem Complexity

เมื่อเร็ว ๆ นี้แอปเปิ้ลก็มีการออกงานวิจัยที่ชื่อว่า The Illusion of Thinking: Understanding the Strengths and Limitations of Reasoning Models via the Lens of Problem Complexity เพื่อตีแผ่แง่มุมข้อจำกัดของโมเดลการให้เหตุผลขนาดใหญ่ Large Reasoning Models (LRMs) ที่ใช้ในปัจจุบัน ซึ่งเล่างานวิจัยนี้โดยสรุปคือ

เค้าศึกษาโมเดล AI รุ่นใหม่ๆ ที่เก่งขึ้นและบอกว่าสามารถ “คิด” หรือให้เหตุผลได้ดีขึ้น (เรียกว่า Large Reasoning Models หรือ LRMs) แล้วแทนที่จะทดสอบความเก่งโดยใช้โจทย์เลขหรือเขียนโค้ดทั่วไปซึ่ง AI อาจเคยเห็นมาแล้ว นักวิจัยใช้ เกมปริศนาที่ปรับความยากง่ายได้อย่างแม่นยำมาทดสอบ เพื่อดูว่า AI พวกนี้ “คิด” หรือแก้ปัญหาจริงๆ ยังไง

จากที่ทดสอบกับเกมปริศนาต่างๆ ทำให้พบปัญหาหลักๆ ของโมเดล AI เหล่านี้คือ:

  • ล้มเหลวโดยสิ้นเชิงเมื่อโจทย์ยากมาก: พอความยากของปริศนาเพิ่มขึ้นถึงจุดหนึ่ง โมเดล AI เหล่านี้ก็ แก้ปัญหาไม่ได้เลย ความถูกต้องลดลงจนเหลือศูนย์ เหมือนมีกำแพงที่ข้ามไม่ได้
  • พยายามน้อยลงเมื่อโจทย์ยิ่งยาก: ปกติโจทย์ยากก็ควรคิดเยอะขึ้นใช่ไหมครับ? แต่โมเดลเหล่านี้ พอโจทย์ยากมากๆ ใกล้ถึงจุดที่แก้ไม่ได้ เค้ากลับ ใช้ขั้นตอนการคิดน้อยลง (ใช้จำนวนโทเค็นในการคิดน้อยลง) แม้จะมี “งบ” ในการคิดเหลือเฟือก็ตาม
  • ทำตามขั้นตอนเป๊ะๆ ไม่ได้ และทำโจทย์ไม่สม่ำเสมอ: แม้จะบอกวิธีแก้ปัญหาแบบเป็นขั้นตอน (เหมือนให้สูตร) ให้ AI ทำตาม เขาก็ยังทำผิดและไปไม่รอดอยู่ดี และยังมีความสามารถในการแก้ปริศนาแต่ละแบบไม่เท่ากัน บางเกมทำได้ดีกว่าอีกเกมที่น่าจะง่ายกว่า ซึ่งบอกว่าเค้าอาจไม่ได้เข้าใจหลักการจริงๆ ที่เอาไปใช้ได้ทั่วไป
  • คิดเยอะเกินไปในโจทย์ง่ายๆ (Overthinking): ในโจทย์ง่ายๆ บางที AI หาคำตอบที่ถูกต้องเจอตั้งแต่แรกแล้ว แต่เขาก็ยังคิดวนไปมา สำรวจวิธีที่ผิดๆ ต่อไป โดยไม่จำเป็น ทำให้เสียเวลาและพลังงานการคิดไปเปล่าๆ
The Illusion of Thinking: Understanding the Strengths and Limitations of Reasoning Models via the Lens of Problem Complexity

สรุปคือ งานวิจัยนี้บอกว่า แม้ AI รุ่นใหม่ๆ จะดูเหมือนเก่งขึ้นในการคิด แต่พวกเขายังมีข้อจำกัดพื้นฐาน ในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อเจอปัญหาที่ยากมากๆ จะ ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง และมีพฤติกรรมที่แปลกไป เช่น ลดความพยายามลง ซึ่งทำให้เราต้องคิดว่า AI เหล่านี้มีความสามารถในการให้เหตุผลแบบทั่วไปจริงๆ หรือแค่เก่งในการจับรูปแบบบางอย่างเท่านั้น ซึ่งต่างจากความเก่งของมนุษย์ ที่ถ้าเก่งเรื่องนั้นจริง ๆ ก็จะสามารถหาทางไปต่อได้แม้ไม่เคยเห็นปัญหานั้นมาก่อน

แนวทาง AI ของแอปเปิ้ล หลังสู้ตัวตึงในตลาดไม่ได้

เมื่อแนวทางของแอปเปิ้ลเริ่มชัดเจนว่าคงสู้ตัวตึงในตลาด AI ไม่ไหว แล้วโมเดลในปัจจุบันก็ไม่ได้เก่งจริง ๆ เราจึงเห็นการใช้งาน Apple Intelligence ในรูปแบบที่เห็นใน WWDC 2025 คือเป็นสมองเบื้องหลังงานต่าง ๆ งานเล็ก ๆ ที่ไม่เกินไปกว่าข้อมูลผู้ใช้ แล้วถ้าเป็นงานยาก ๆ ก็ไปให้ผู้ให้บริการภายนอกมาช่วยนั่นเอง

ก็ต้องรอดูกันต่อไปว่า WWDC 2026 แอปเปิ้ลจะยังยีดแนวทางนี้ หรือน้อง Siri จะกลับมาเก่งขึ้นจนโดยรวมกลับมาสู้ในตลาดได้

แต่ไม่ว่า AI จะเป็นยังไง ชาวไทยก็มีความเห็นเกี่ยวกับการใช้งานเสมอ ความเห็นของคนในอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับการใช้งาน AI ในปัจจุบัน ก็มีหลายความเห็นน่าสนใจเลย

  • ผมห่วงเรื่องเด็กเจนนี้ที่ใช้ ai เป็น assistant ในชีวิตประจำวันมากกว่า เพราะเค้าปรึกษา ai แทบทุกเรื่องเลย ปัญหาชีวิต ครอบครัว คนรัก ซึ่งปฎิเสธไม่ได้ว่า ai เป็นนักปลอบโยนและนักให้กำลังใจที่ดีมากๆ แต่ข้อเสียจริงๆคือ ai จะไม่แย้งคุณ ไม่ขัดคุณ และไม่สั่งสอนคุณ เพราะดาต้าปัญหาชีวิตที่ ai ได้รับมา คือดาต้าจากตัวคุณ ซึ่งเรามีไบแอสเข้าข้างตัวเองและพยามหาเหตุผลให้กับตัวเราอยู่แล้ว ดังนั้น ai จะให้เหตุผลที่ support ใจคุณ แบบที่ในใจลึกๆคุณต้องการอยู่ตลอด และสิ่งสำคัญคือ  ai มันไม่มีความคิดจริงๆ ซึ่งเราก็จะแย้งมันได้เรื่อยๆจนได้คำตอบที่เราพอใจอยู่ดี ผมคิดว่ามันอันตรายมากๆ ถ้าวันนึงเด็กๆของเราจะโตมาโดยฟังแต่ ChatGPT ที่คอยแต่จะเข้าข้างลูกเราตลอด ไม่ว่าเรื่องอะไร (ไม่ใชเรื่องผิดกฏหมายนะ) หมายถึงเรื่องทะเลาะกันในกลุ่มเพื่อน แย่งคอมกันกับพี่ชาย เรื่องนู้นเรื่องนี้ คนรัก ครอบครัว เรื่องงาน ความสัมพันธ์ผู้คน คือมันทำให้เราเกลียดอีกคนได้ง่ายๆเลยอ่ะ ซึ่งวันนี้มันยังไม่เข้ามาในชีวิตเราขนาดนั้น แต่วันนึงเมื่อมันแพร่หลายจนเป็นสิ่งที่เหมือนมือถือขึ้นมา ก็น่ากังวลจริงๆ
  • ประเด็นคือจะปรับตัวยังไง ไม่ใช่ทุกอาชีพจะถีบตัวเองให้พัฒนาให้เก่งกว่าเอไอได้ ตอนแรกอาจจะทำได้หนึ่งขั้น แต่ผ่านไปหนึ่งปีเอไอเก่งกว่าอีกล่ะ แถมล้ำหน้าเราไปแล้ว แล้วมนุษย์มันก็มีขีดจำกัดของมันอยู่ อายุเอย สุขภาพเอย หรือจะไปทำอาชีพอื่นก็ต้องไปรีสกิลกันใหม่ทั้งหมด ซึ่งก็ไม่รู้ว่าอาชีพอื่นที่กำลังจะรีสกิล อีกปีสองปีเอไอมันจะมาแทนที่ด้วยไหม
  • พูดถึงการพัฒนา AI แทนได้หมดครับ บอกเลย ไม่ได้ bias นะ มันคือสมอง สมองที่มี data มหาศาล พัฒนาก้าวกระโดดได้ ทำให้งานแต่ละศาสตร์ก้าวกกระโดด มีจุดด้อยตรงไหน ผู้พัฒนาจะปรับ Algorithm แก้ไข รอแค่เวลาเท่านั้น ในการอุดช่องโว่แต่ละอย่าง หรือว่าจะทำไหม , และต่อไป Humanoid + AI กำลังมา และจะมาในตลาด consumer อีก มีทั้งผลดีและกระทบอีกแน่นอน
  • สิ่งที่เอไอสร้าง พอมันเยอะๆ เข้า คนเบื่อ และจะหันไปเสพอะไรที่มันเรียลๆ  จนกลายเป็นว่า คอนเทนต์เรียลๆ คอนเทนต้นทุนต่ำ(ที่ไม่ใช่ ai ) คนหันมาเสพมากขึ้น ที่น่ากลัวก็คือ คอนเทนต์คุณภาพสูง ที่ต้องแข่งกับเอไอ พวกนี้ ถ้าไม่เลิกเสแสร้ง ถ้าไม่เลิกสร้างภาพ ก็แพ้ไปครับ เอไอมันสร้างภาพได้ดีกว่า และคนเบื่อแบบนี้  ทางรอดคือ ทำคอนเทนต์ให้เรียลมากขึ้น แบบช่อง 9arm ยังไงก็อยู่ได้

บรรณาธิการ CEEi ดูแลเนื้อหาด้านเทคโนโลยี Gadget ทุกประเภท

Advertisement

Sidebar Search
Popular Now
Loading

Signing-in 3 seconds...

Signing-up 3 seconds...