ความเสี่ยงและผลตอบแทนเป็นของคู่กันในโลกการลงทุน แต่คำถามสำคัญคือตัวเราสามารถยอมรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน ? แล้วถ้าการลงทุนไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่คาดหวังไว้จะมีผลกระทบทางการเงินอย่างไร ? เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น เรามีเงินสำรองไว้ใช้เพียงพอหรือไม่ โดยที่ไม่ต้องนำเงินต้นในการลงทุนออกมาใช้ แล้วเราสามารถจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้ดีแค่ไหน เมื่อตลาดมีการเปลี่ยนแปลงที่เราอาจคาดไม่ถึง
การทำความเข้าใจตนเองและความสามารถในการยอมรับความเสี่ยง คือสิ่งสำคัญที่นักลงทุนทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่าไม่ควรละเลย ซึ่งการที่เราจะรู้ได้ว่าตัวเราสามารถยอมรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน สามารถเช็กได้ง่าย ๆ จาก ‘แบบประเมินความเหมาะสมในการลงทุน’ (Suitability Test) ที่จะมีตัวชี้วัดหลัก ๆ อยู่ 5 ข้อ ให้เราได้ทำความเข้าใจตนเอง นั่นก็คือ
คนที่เริ่มต้นลงทุนเมื่ออายุยังน้อย ๆ จะมีแนวโน้มยอมรับความเสี่ยงได้มากกว่า เพราะว่ามีแรงมีกำลังในการทำงานหาเงินได้อีกหลายปีกว่าจะถึงวัยเกษียณ นอกจากนี้ยังได้รับประโยชน์จาก ‘พลังของดอกเบี้ยทบต้น’ ที่ส่งผลให้เงินลงทุนของเราเติบโตขึ้น
ในทางกลับกันเมื่อเราอายุมากขึ้น ระยะเวลาในการหาเงินเริ่มน้อยลง เข้าใกล้วันเกษียณมากขึ้น ความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงก็จะน้อยลงตามไปด้วย เพื่อให้เงินต้นและผลตอบแทนมีความมั่นคง ทำให้เรามีเงินใช้อย่างเพียงพอในวัยเกษียณตามที่วางแผนไว้นั่นเอง
การที่เรามีรายได้เยอะ ๆ ต่อเดือน ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นนักลงทุนที่สามารถยอมรับความเสี่ยงได้มากเสมอไป เพราะปัจจัยที่ต้องพิจารณาคู่กันคือ ‘หนี้สิน’ ที่ต้องผ่อนชำระในแต่ละเดือน เช่น มีรายได้มากและมีหนี้สินน้อย แปลว่าในแต่ละเดือน หลังจากที่เราจัดสรรค่าใช้จ่ายจำเป็นและเงินออมแล้ว เราจะมีเงินลงทุนที่มากขึ้น และทำให้สามารถยอมรับความเสี่ยงที่สูงขึ้นได้
ทั้งนี้ หากเรามีรายได้และหนี้สินที่มีความใกล้เคียงกัน ก็จะทำให้ความสามารถในการยอมรับความเสี่ยงลดน้อยลงโดยอัตโนมัติ เนื่องจากอาจมีเงินออมหรือเงินสำรองไม่เพียงพอ ทำให้เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น เราจำเป็นต้องนำเงินต้นในการลงทุนออกมาใช้นั่นเอง
การลงทุนให้ประสบความสำเร็จ คือการที่เงินลงทุนสามารถทำงานได้เต็มที่ตามกรอบระยะเวลาที่เราวางแผนไว้ การนำ ‘เงินร้อน’ หรือเงินที่เราอาจมีความจำเป็นต้องใช้ในอนาคตอันใกล้มาลงทุน ควรเลือกลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงต่ำ ลงทุนได้ในระยะสั้น ๆ และที่สำคัญคือไม่เหมาะกับการลงทุนระยะยาว เพราะว่าเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น เราอาจจะต้องถอนเงินลงทุนนั้นออกมา แม้ว่าผลตอบแทนอาจจะยังขาดทุนอยู่ก็ตาม
ขณะที่การลงทุนด้วย ‘เงินเย็น’ หรือเงินที่เราไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้ในระยะเวลาเร็ว ๆ นี้ จะสามารถเลือกลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงได้สูงขึ้น เพื่อให้เงินลงทุนสามารถทำงานได้เต็มที่ตามกรอบระยะเวลา สร้างผลตอบแทนได้เต็มที่ และได้รับประโยชน์จากพลังของดอกเบี้ยทบต้นด้วย
ความรู้ความเข้าใจคือเครื่องมือที่สำคัญในการลงทุน ทั้งการรู้และเข้าใจว่าสินทรัพย์ที่เรากำลังจะลงทุนนั้นมีธรรมชาติเป็นอย่างไร มีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน สิ่งเหล่านี้ก็จะทำให้เราเข้าใจและยอมรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้มากเท่านั้น ขณะเดียวกัน การเรียนรู้ย่อมมาคู่กับการลงทุนทำ ดังนั้นการเพิ่มพูนประสบการณ์จากการฝึกกับพอร์ตจำลอง จึงเป็นเรื่องที่เราไม่ควรมองข้าม
การรู้จักและเข้าใจตนเองเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการจัดการกับอารมณ์ของตนเอง เมื่อพอร์ตการลงทุนของเราได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดของตลาด หรือความวิตกกังวลกับการลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงสูงมาก ๆ จนเราอาจเกิดความไม่มั่นใจ หรือกังวลจนนอนไม่หลับ ซึ่งหากเป็นถึงขั้นนี้ การเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำก็น่าจะเป็นการเซฟใจเราเองที่ดีกว่า เพื่อให้การลงทุนสามารถดำเนินไปได้ตามกรอบระยะเวลาที่เราวางไว้จนสำเร็จ
ในทางกลับกัน หากเราเป็นคนกล้าได้กล้าเสีย ชีวิตเสพติดความตื่นเต้น การลงทุนก็ควรวางแผนในมีเกราะป้องกันไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อปกป้องพอร์ตการลงทุนจากการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงมากเอาไว้ตั้งแต่ อย่างน้อย ๆ ก็ช่วยให้เราได้เสี่ยงสูงสมใจอยาก แต่เมื่อเกิดเหตุไม่คาดคิด แผนการลงทุนที่วางไว้ก็ไม่ได้ถึงขั้นเสียหายร้ายแรงจนกระทบกับชีวิตของเราในท้ายที่สุด
การทำแบบประเมินความเหมาะสมในการลงทุนควรมีการทบทวนทุก ๆ 2 ปี เพื่อให้เราเข้าใจตัวเองอยู่เสมอ ทั้งปัจจัยส่วนตัวที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น อายุที่เพิ่มมากขึ้น ภาระหนี้สิน ความสามารถในการหารายได้ เป้าหมายการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นต้น ทั้งนี้ การทำแบบประเมินความเหมาะสมในการลงทุนมีให้เลือกหลากหลายสถาบันการเงินและการลงทุน รวมถึงตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งสามารถลองทำได้ที่นี่เลย (คลิก)