กองทุน Thai ESG และ Thai ESGX มีจุดเด่นที่เห็นได้ชัดคือการลดหย่อนภาษี และสำหรับผู้ที่ถือครองกองทุน LTF ไว้จนครบกำหนดแล้วก็สามารถสับเปลี่ยนมายัง Thai ESGX เพื่อโอกาสการลงทุนที่ต่อเนื่องได้ แต่รู้หรือไม่ว่าการลงทุนในกองทุนทั้งสองประเภทนี้ยังมีประโยชน์ในด้านอื่น ๆ แฝงอยู่อีกด้วย
การลงทุนใน Thai ESG และ Thai ESGX มีระยะเวลาการถือครอง 5 ปี จึงนับเป็นการลงทุนระยะยาวที่น่าสนใจสำหรับมือใหม่ เพราะว่าช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดที่หลายคนยังจับทิศทางไม่แม่น ช่วยสร้างวินัยทางการเงินในการเริ่มต้นการลงทุนให้สำเร็จ และ ‘พลังของดอกเบี้ยทบต้น’ ที่เงินต้นจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นจากดอกเบี้ยในงวดก่อนหน้า ทั้งนี้เมื่อเงินต้นเพิ่มขึ้น ดอกเบี้ยที่ได้รับก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ยิ่งลงทุนเป็นระยะเวลานาน ดอกเบี้ยก็ยิ่งทบต้นไปเรื่อย ๆ เงินที่ลงทุนไว้ก็จะเติบโตต่อยอดขึ้นไปเรื่อย ๆ เช่นกัน
จากนโยบายการลงทุนของ Thai ESG และ Thai ESGX ที่มุ่งเน้นการลงทุนในบริษัทที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนตามหลักการ ESG ที่ประกอบด้วยมิติด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และบรรษัทภิบาล (Governance) ทำให้กองทุนนี้สามารถลดความเสี่ยงจากการลงทุนในบริษัทที่จะถูกกีดกันด้วยกฎระเบียบและข้อจำกัดทางธุรกิจต่าง ๆ หากมีการดำเนินธุรกิจที่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
โดย ‘กฎระเบียบ’ ที่ว่านี้หมายถึงกฎระเบียบการค้าที่บริษัทต่าง ๆ ต้องปฏิบัติตาม หากอยากส่งสินค้าเข้าไปขายในประเทศนั้น ๆ เช่น CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป เพื่อป้องกันการนำเข้าสินค้าที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเข้ามาในภูมิภาค
มาตรการ CBAM ถูกนำร่องใช้กับสินค้า 5 กลุ่มแรก ได้แก่ เหล็ก ซีเมนต์ กระแสไฟฟ้า ปุ๋ย และอะลูมิเนียม ทำให้บริษัทไหนที่ไม่อยากโดนบวกราคาคาร์บอนเยอะ เพราะจะทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น และเสี่ยงต่อการสูญเสียความสามารถในการแข่งขันกับบริษัทที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่า ก็ต้องเร่งปรับเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นนั่นเอง
ปัจจุบัน ผู้บริโภคหันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น สะท้อนจากการเลือกซื้อสินค้าและบริการจากบริษัทที่มีผลงานด้านสิ่งแวดล้อมโดดเด่น ซึ่งนอกจากจะเป็นผลดีต่อการทำกำไรแล้ว การเป็นบริษัทที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของผู้บริโภคและคู่ค้าในห่วงโซ่อุปทาน เกิดเป็นการยอมรับ ความไว้วางใจ และความภาคภูมิใจ ซึ่งจะพัฒนาไปสู่ ‘ความภักดีต่อแบรนด์’ (Brand Loyalty) อีกด้วย
ทั้งนี้ บริษัทที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมักมีกระบวนการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อลดการสูญเสียทรัพยากร เช่น พลังงานและวัสดุอุปกรณ์ ส่งผลทำให้ต้นทุนของบริษัทลดลง และเพิ่มความสามารถในการทำกำไรมากขึ้น นักลงทุนจำนวนหนึ่งจึงมองเรื่องนี้เป็นปัจจัยสำคัญในการลงทุน ทำให้บริษัทที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมักจะได้รับข้อเสนอที่ดีกว่าในการขอสินเชื่อ หรือที่เรียกว่า “Green Loan” นั่นเอง
การลงทุนใน Thai ESG และ Thai ESGX คือการสนับสนุนทางอ้อมในบริษัทที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นความพยายามในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ไปจนถึงการพัฒนาเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งท้ายที่สุดแล้วทั้งหมดก็คือการมีส่วนร่วมแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งต่อโลกที่น่าอยู่ขึ้นสำหรับคนรุ่นหลัง หรืออย่างน้อย ๆ ก็เป็นโลกใบเดิมที่เราอยู่ได้อย่างสุขใจมากขึ้นกว่าวันนี้ที่มีแต่ฝุ่น PM 2.5