วิกฤตวนลูป :ไทยยังไล่แก้ปัญหา มากกว่าพัฒนาเทคโนโลยีป้องกันเชิงรุก

dailygizmoIT1 month ago42 Views

สังคมไทยยังคงเผชิญกับวัฏจักรที่วนเวียนแบบเดิม รอให้รอให้ภัยพิบัติเกิดขึ้นก่อนจึงเร่งแก้ปัญหา นับตั้งแต่เหตุการณ์สึนามิ กราดยิงพารากอน จนมาถึงแผ่นดินไหวส่งผลให้อาคารถล่ม เราแทบไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งการแจ้งเตือนให้คนในพื้นที่รู้ จนไปถึงลงทุนเตรียมความพร้อมล่วงหน้าเพื่อรับมือเหตุการณ์ฉุกเฉินที่เกิดขึ้น

เรายังเผชิญปัญหาแบบเดิม ไล่แก้ปัญาหาวนอยู่อย่างนั้น อาจด้วยข้อจำกัดกรอบกฎหมายที่ล้าสมัย ผู้นำที่ขาดวิสัยทัศน์เชิงรุกในการพัฒนาเทคโนโลยีกู้ภัย ทำให้ประเทศไทยยังคงต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากต่างประเทศ เมื่อมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น

กฎระเบียบ: อุปสรรคต่อการสร้างนวัตกรรมเพื่อชีวิต

ข้อจำกัดด้านกฎหมายกลายเป็นกำแพงสูงสำหรับนักพัฒนา ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น โดรนซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการสำรวจพื้นที่ประสบภัยจากมุมสูงได้อย่างรวดเร็ว กลับถูกควบคุมอย่างเข้มงวด แม้จะใช้ในภารกิจเร่งด่วนเพื่อช่วยชีวิตก็ยังต้องขออนุญาต ส่งผลให้สตาร์ทอัพไทยหลายรายไม่สามารถทดสอบหรือพัฒนานวัตกรรมในสถานการณ์จริงได้

ลองคิดเล่น ๆ หากตอนนั้นมีบริการเช่า “สกู๊ตเตอร์” ฉุกเฉินเพื่อเข้าถึงพื้นที่หรือเคลื่อนย้ายอุปกรณ์เบา เราอาจมีทางเลือกมากกว่าการรอความช่วยเหลือจากศูนย์กลาง

ปฏิบัติการช่วยเหลือที่อาคาร สตง.: “หมาจริง” และ “หมาไซเบอร์”

28 มีนาคม 2568 อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่มจากแผ่นดินไหว ทีมกู้ภัยเริ่มต้นด้วยเครื่องมือช่วยเหลือพื้นฐาน และสุนัขกู้ภัย K9 จากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เพื่อช่วยเหลือและระบุตำแหน่งผู้ประสบเหตุที่ ติดอยู่ใต้ซากอาคารได้อย่างแม่นยำ

แต่เมื่อโครงสร้างเริ่มไม่ปลอดภัยทำให้ทั้งนักกู้ภัยและสุนัข K-9 มีความเสี่ยงในการค้นหามากขึ้น จริงๆแล้วเรามีเทคโนโลยีอย่าง หุ่นยนต์สุนัข (Cyberdog) ที่สามารถส่งเข้าไปทำงานแทนได้

ด้วยการใช้ประโยชน์จากกล้องความละเอียดสูงและเซ็นเซอร์ตรวจจับความร้อน รวมถึงสามารถถ่ายทอดภาพแบบเรียลไทม์ไปยังหน่ยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อ มนุษย์–หมาจริง–หมาไซเบอร์ ทำงานร่วมกันกลายเป็น “สามประสาน” ก็จะช่วยกันค้นหาชีวิตใต้ซากปรักหักพังได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่สิ่งเหล่านี้กลับไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์ในการกู้ภัย

โดรน: ตาที่สามจากฟ้า

อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่มีส่วนสำคัญในการกู้ภะยคือ โดรนไร้คนขับ จากกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ด้วยการใช้โดรนติดกล้องอินฟราเรดบินสำรวจจากมุมสูง ช่วยเห็นภาพรวม ระบุตำแหน่งความร้อนเข้าถึงจุดที่รถหรือคนเข้าไม่ถึง และปฏิบัติงานได้แม้ในเวลากลางคืน ช่วยให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยหาเส้นทางเข้าช่วยผู้ที่ติดอยูใต้ตึกได้ดีขึ้น แต่ด้วยความล่าช้าในการขออนุญาตบินใช้งานในพื้นที่หวงห้าม ยังเป็นปัญหาเดิมซ้ำซากที่ทำให้ “เวลาแห่งชีวิต” ถูกลดทอนลงไป

บทเรียนราคาแพง

แม้การช่วยเหลือจะประสบความสำเร็จในหลายจุด แต่ความล่าช้าในการระดมเครื่องมือและเทคโนโลยี ทำให้บางชีวิตหลุดมือไปอย่างน่าเสียดาย จริงๆแล้วหุ่นยนต์กู้ภัยไม่ใช่ว่าไม่มีในไทย บางส่วนคนไทยก็พัฒนาขึ้นเองด้วย แต่ส่วนใหญ่ถูกใช้เพื่อโชว์เทคโนโลยี เน้นไปที่ความบันเทิงมากกว่านำมาใช้ปฏิบัติภารกิจจริง เราไม่ขาดเครื่องมือ แต่เราขาดวิธีคิด ที่จะใช้มันอย่างจริงจังอย่างมีประสิทธิภาพ

ถึงเวลายกระดับ: เปลี่ยนจากตั้งรับเป็น “ลงมือก่อน”

ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายเห็นตรงกันว่า:
• ปรับกฎหมายให้ทันสถานการณ์และเปิดทางให้นวัตกรรมกู้ภัย
• จัดงบวิจัย-ทดสอบ-ฝึกปฏิบัติแบบบูรณาการ
• สร้างความร่วมมือข้ามภาคส่วน: รัฐ–เอกชน–มหาวิทยาลัย
• ส่งเสริมเวทีทดลองเทคโนโลยีภายใต้สถานการณ์จำลองจริง
• เปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ได้ลงมือ “ฝึกใช้” เทคโนโลยีช่วยคน

ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี…แต่คือการสร้างวัฒนธรรมของ “ความพร้อม”

เหตุการณ์ที่ สตง. ไม่ควรเป็นแค่ความเศร้าอีกครั้งหนึ่ง แต่ต้องเป็นจุดเปลี่ยน กระตุ้นให้ทุกภาคส่วนลุกขึ้นเตรียมตัวก่อนมันจะมาถึง หันมาสร้าง ระบบช่วยชีวิตที่พร้อมใช้ทันที ไม่ใช่แค่ตอบสนองต่อวิกฤตที่เกิดขึ้น ซึ่งหลายครั้งก็สายเกินไป

นักเขียนสาย Introvert ที่ชื่นชอบเรื่องนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ ใช้เวลาว่างกับ มังงะ, เสียงเพลงและ idol

Advertisement

Sidebar Search
Popular Now
Loading

Signing-in 3 seconds...

Signing-up 3 seconds...