นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยบราวน์ (Brown University) พัฒนาวิธีการใหม่ในการรักษาจอประสาทตาเสื่อม ด้วยการใช้อนุภาคนาโนทองคำและแสงอินฟราเรด รักษาการสูญเสียการมองเห็นโดยไม่ต้องผ่าตัดหรือดัดแปลงพันธุกรรม
เดิมทีการรักษาภาวะจอประสาทตาเสื่อมนั้นจะใช้การผ่าตัดฝังจอประสาทตาเทียมเพื่อฟื้นฟูการมองเห็น ซึ่งการผ่าตัดค่อนข้างมีความซับซ้อน รวมถึงค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
การรักษาแนวใหม่นี้จะใช้วิธีฉีดอนุภาคนาโนของทองคำเข้าไปในดวงตา จากนั้นใช้เลเซอร์อินฟราเรดกระตุ้นเซลล์จอประสาทตา เมื่อทดสอบกับหนูทดลองที่มีภาวะจอประสาทตาเสื่อม พบว่าสามารถฟื้นฟูการมองเห็นบางส่วนได้
ทางนักวิจัยตั้งสมมติฐานว่าการกระตุ้นด้วยอนุภาคนาโนจะทำให้ข้อมูลภาพถูกประมวลผล ด้วยการทดสอบเทคนิคนี้กับหนูทดลอง แบ่งเป็นทดสอบกับเรตินาของหนูที่แยกออกมาและหนูทดลองที่มีชีวิต จากนั้นทำการฉายเลเซอร์ที่มีรูปร่างต่างๆ ลงบนเรตินา พร้อมบันทึกกิจกรรมการมองเห็นในบริเวณคอร์เทกซ์ของสมองเพื่อตรวจสอบว่าการมองเห็นนั้นสอดคล้องกับกิจกรรมทางไฟฟ้าหรือไม่
สิ่งที่น่าสังเกต คือ ไม่พบผลการอักเสบหรืออาการเป็นพิษเกิดขึ้น บ่งชี้ว่าอนุภาคนาโนไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรง และไม่ทำความเสียหายต่อเรตินา แม้เวลาผ่านไปหลายเดือนอนุภาคนาโนเหล่านี้ก็ยังไม่มีสัญญาณของการเสื่อมสภาพด้วย
ทางนักวิทยาศาสตร์วางแผนประยุกต์ใช้เทคนิคนี้ ด้วยการพัฒนาแว่นตาอัจฉริยะที่ติดตั้งกล้องไว้ ทำงานควบคู่กับเลเซอร์อินฟราเรดกำลังต่ำ
เมื่อกล้องรับภาพมา ระบบก็จะเปลี่ยนภาพที่เห็นให้เกลายเป็นแสง จากนั้นใช้เลเซอร์จะกระตุ้นอนุภาคนาโนของเรตินา ทำให้สมองสามารถ “มองเห็น” ภาพได้โดยไม่ต้องใช้โฟโตรีเซพเตอร์
แนวคิดนี้จะคล้ายคลึงกับระบบที่ FDA อนุมัติไปก่อนหน้านี้ ด้วยการฝังอิเล็กโทรด แต่วิธีใหม่นี้มีข้อได้เปรียบหลายประการ ข้อแรกคือเป็นขั้นตอนการรักษาที่ไม่ต้องผ่าตัด ใช้แค่การฉีดอนุภาคนาโนเข้าที่ดวงตาเท่านั้น ข้อต่อมาคือ อนุภาคนาโนนี้สามารถกระจายไปทั่วจอประสาทตา นอกจากนั้นยังรักษาการมองเห็นที่เหลือโดยใช้อินฟราเรด ทำให้ไม่รบกวนการมองเห็นที่เหลืออยู่
ต้องบอกว่างานวิจัยชิ้นนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น แต่ถือว่าเป็นการเปิดประตูบานใหม่ในการพัฒนาจอประสาทตาเทียมที่ไม่ต้องผ่าตัด แน่นอนว่าก่อนจะนำมาใช้งานจริงกับมนุษย์ จำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติม รวมถึงต้องผ่านการทดสอบเชิงคลินิกก่อนเพื่อให้มั่นใจ
สำหรับใครที่อยากศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมสามารถอ่านงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร ACS Nano.
ที่มา interestingengineering