Apple ประกาศเปิดตัวฟีเจอร์การช่วยการเข้าถึงใหม่ๆ หนึ่งในนั้นคือ การติดตามดวงตาที่จะช่วยให้ผู้ใช้ที่มีความบกพร่องทางร่างกาย ควบคุม iPad หรือ iPhone ได้ด้วยการใช้ดวงตา
Eye Tracking
การติดตามดวงตาใช้งานได้กับแอปฯ iPadOS และ iOS โดยไม่ต้องใช้ฮาร์ดแวร์หรืออุปกรณ์เสริมใดๆ ผู้ใช้สามารถใช้การติดตามดวงตาเพื่อเลื่อนผ่านองค์ประกอบต่างๆ ของแอปฯ และใช้ Dwell Control หรือการควบคุมการอยู่นิ่งเพื่อเปิดใช้งานแต่ละองค์ประกอบ เข้าถึงฟังก์ชั่นเพิ่มเติม เช่น ปุ่มจริง การปัด และคำสั่งนิ้วอื่นๆ โดยใช้ดวงตาเพียงอย่างเดียว
การติดตามดวงตานั้นจะใช้ปัญญาประดิษฐ์ ออกแบบมาเพื่อผู้ใช้ที่มีความบกพร่องทางร่างกายใช้กล้องหน้าในการตั้งค่าและปรับเทียบได้ภายในไม่กี่วินาที ที่สำคัญ AI ทั้งหมดจะทำงานบนอุปกรณ์ทำให้ไม่มีการแชร์ข้อมูลกับ Apple
นอกจากนั้น Apple ยังเปิดตัวฟีเจอร์การเข้าถึงอื่นๆที่น่าสนใจดังนี้
Music Haptics ช่วยให้ผู้ใช้ที่หูหนวกหรือมีปัญหาในการได้ยินสามารถเพลิดเพลินกับเสียงเพลงบน iPhone ในรูปแบบใหม่ เมื่อเปิดใช้งานคุณสมบัติการช่วยการเข้าถึงนี้ Taptic Engine ใน iPhone จะเล่นการแตะ ผิวสัมผัส และการสั่นที่ได้รับการปรับแต่งให้เข้ากับเสียงเพลง Music Haptics ใช้งานได้กับเพลงหลายล้านเพลงในแค็ตตาล็อก Apple Music และจะพร้อมใช้งานเป็น API สำหรับนักพัฒนาเพื่อทำให้เสียงเพลงเข้าถึงได้มากขึ้นในแอปฯ ของพวกเขา
คุณสมบัติใหม่สำหรับเสียงพูดหลากหลายแบบ
Vocal Shortcuts ช่วยให้ผู้ใช้ iPhone และ iPad กำหนดคำสั่งเสียงพูดที่ Siri สามารถเข้าใจได้ในแบบของตัวเอง เพื่อเปิดใช้งานคำสั่งลัดและทำงานที่ซับซ้อนให้สำเร็จได้ Listen for Atypical Speech เป็นอีกหนึ่งคุณสมบัติใหม่ที่ช่วยให้ผู้ใช้มีทางเลือกในการปรับปรุงการจำเสียงพูดสำหรับรูปแบบเสียงพูดที่หลากหลาย โดย Listen for Atypical Speech จะใช้การเรียนรู้ของระบบบนอุปกรณ์ เพื่อจดจำรูปแบบเสียงพูดของผู้ใช้ คุณสมบัติเหล่านี้ออกแบบมาสำหรับผู้ใช้ที่มีอาการผิดปกติหรืออาการลุกลามซึ่งส่งผลต่อการพูด เช่น สมองพิการ โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (ALS) หรือโรคหลอดเลือดสมอง โดยจะช่วยยกระดับการปรับแต่งและการควบคุมของผู้ใช้ ซึ่งเป็นการต่อยอดจากคุณสมบัติที่เปิดตัวไปใน iOS 17 สำหรับผู้ใช้ที่พูดไม่ได้หรือเสี่ยงต่อการสูญเสียความสามารถในการพูด
Vehicle Motion Cues เป็นประสบการณ์ใหม่สำหรับ iPhone และ iPad ที่สามารถช่วยลดภาวะป่วยจากการเคลื่อนไหวหรืออาการเมารถสำหรับผู้โดยสารในยานพาหนะที่กำลังเคลื่อนที่ การวิจัยแสดงให้เห็นว่าภาวะป่วยจากการเคลื่อนไหวหรืออาการเมารถมักเกิดจากความขัดแย้งทางประสาทสัมผัสระหว่างสิ่งที่บุคคลเห็นกับสิ่งที่พวกเขารู้สึก ซึ่งส่งผลให้ผู้ใช้บางรายไม่สามารถใช้งาน iPhone หรือ iPad ได้อย่างสะดวกขณะโดยสารยานพาหนะที่กำลังเคลื่อนที่ Vehicle Motion Cues จะแสดงจุดบนขอบหน้าจอที่จะขยับไปพร้อมๆ กับการเคลื่อนที่ของยานพาหนะ เพื่อช่วยลดความขัดแย้งทางประสาทสัมผัสโดยไม่รบกวนคอนเทนต์หลัก คุณสมบัตินี้จะใช้เซ็นเซอร์ที่ติดตั้งมาบน iPhone และ iPad จึงสามารถรับรู้ได้เมื่อผู้ใช้อยู่ในยานพาหนะที่กำลังเคลื่อนที่และจะตอบสนองผ่านหน้าจออย่างสอดคล้อง ผู้ใช้สามารถตั้งค่าให้คุณสมบัตินี้แสดงโดยอัตโนมัติบน iPhone หรือสามารถเปิดและปิดในศูนย์ควบคุมได้
คุณสมบัติการช่วยการเข้าถึงที่จะพร้อมใช้งานบน CarPlay ได้แก่ การสั่งการด้วยเสียง ฟิลเตอร์สี และการจำเสียง ผู้ใช้สามารถไปยังส่วนต่างๆ บน CarPlay และควบคุมแอปฯ ต่างๆ ได้โดยใช้แค่เสียงของพวกเขาด้วยคุณสมบัติการสั่งการด้วยเสียง ขณะที่ผู้ขับขี่หรือผู้โดยสารที่หูหนวกหรือมีปัญหาในการได้ยินก็สามารถเปิดการแจ้งเตือนเพื่อรับแจ้งเตือนเสียงแตรรถและเสียงไซเรนด้วยคุณสมบัติการจำเสียง และสำหรับผู้ใช้ที่ตาบอดสี ฟิลเตอร์สีจะทำให้อินเทอร์เฟซ CarPlay ใช้งานได้ง่ายขึ้น พร้อมคุณสมบัติการช่วยการเข้าถึงด้านการมองเห็นอื่นๆ เช่น ข้อความตัวหนาและข้อความขนาดใหญ่
คุณสมบัติการช่วยการเข้าถึงที่จะพร้อมใช้งานใน VisionOS ภายในปีนี้ รวมถึงคำบรรยายสดทั่วทั้งระบบที่จะช่วยให้ทุกคน รวมถึงผู้ใช้ที่หูหนวกหรือมีปัญหาในการได้ยิน สามารถติดตามคำพูดในการสนทนาสดและเสียงจากแอปฯ ต่างๆ ได้ ขณะที่คำบรรยายสดสำหรับ FaceTime ใน VisionOS จะเปิดโอกาสให้ผู้ใช้จำนวนมากขึ้น ได้เพลิดเพลินกับประสบการณ์อันโดดเด่นในการเชื่อมต่อและทำงานร่วมกันโดยใช้ Persona ของตนได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ Apple Vision Pro จะเพิ่มความสามารถในการย้ายคำบรรยายโดยใช้แถบหน้าต่างระหว่าง Apple Immersive Video เช่นเดียวกับการรองรับอุปกรณ์ช่วยฟัง Made for iPhone และตัวประมวลผลเสียงของประสาทหูเทียมเพิ่มเติม และการอัปเดตสำหรับการช่วยการเข้าถึงด้านการมองเห็นจะมาพร้อมคุณสมบัติลดความโปร่งใส, Smart Invert, และการทำให้แสงสว่างวาบมืดลงสำหรับผู้ใช้ที่มองเห็นไม่ชัดหรือผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงแสงจ้าและการกะพริบถี่ๆ
คุณสมบัติเหล่านี้จะเข้ามารวมกับคุณสมบัติการช่วยการเข้าถึงมากมายที่มีอยู่แล้วใน Apple Vision Pro เพื่อมอบระบบอินพุตที่ยืดหยุ่นและอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายซึ่งออกแบบมาโดยคำนึงถึงกลุ่มผู้ใช้ที่หลากหลาย คุณสมบัติต่างๆ เช่น VoiceOver, ซูม, และฟิลเตอร์สียังช่วยให้ผู้ใช้ที่ตาบอดหรือมองเห็นไม่ชัดสามารถเข้าถึงการประมวลผลเชิงมิติพื้นที่ได้ ในขณะที่คุณสมบัติต่างๆ เช่น การใช้งานเครื่องตามที่กำหนด สามารถรองรับการใช้งานของผู้ที่มีความบกพร่องทางการรับรู้ ผู้ใช้สามารถควบคุม Vision Pro ด้วยดวงตา มือ หรือเสียงแบบผสมผสานกัน โดยผู้ที่มีความบกพร่องทางร่างกายสามารถใช้คุณสมบัติการช่วยการเข้าถึง เช่น การควบคุมสวิตช์ การทำงานด้วยเสียง และการควบคุมการอยู่นิ่งได้
ที่มา https://www.apple.com/th/newsroom/2024/05/apple-announces-new-accessibility-features-including-eye-tracking/