Microsoft ประกาศปลดพนักงานออกจากบริษัทกว่า 7,000 คนหรือคิดเป็น 3% ของทั้งหมด ซึ่งการเลิกจ้างนั้นจะส่งผลกับพนักงานทั่วทั้งโลก ส่วนใหญ่แล้วส่งผลกระทบกับผู้บริหารระดับกลางและตำแหน่งที่ไม่ใช้ทางเทคนิค ประเด็นที่น่าสนใจคือแม้ว่าบริษัทจะมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น แต่ทำไมบริษัทถึงยังเลือกปลดคนงานออกจากบริษัทอยู่
Microsoft สร้างรายได้ในไตรมาสล่าสุดอยู่ที่ 70,070 ล้านเหรียญ ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ นับเป็นการแสดงให้เห็นถึงความมั่นคงของธุรกิจ โดย Microsoft ได้เตรียมงบประมาณไว้ถึง 80,000 ล้านเหรียญในปีงบประมาณนี้ ซึ่งค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่จะถูกนำไปใช้กับศูนย์ข้อมูล (data center) สำหรับ AI โดยเฉพาะ
โมเดล AI ต้องใช้การคำนวณอย่างหนักรวมถึงฮาร์ดแวร์ใหม่ ต้นทุนการจัดเก็บข้อมูล การระบายความร้อน และพลังงาน การสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ AI ต้องใช้เงิน เวลา ซุ้ง Microsoft เองก็พยายามที่จะลดค่าใช้จ่ายที่ทำให้การทำศูนย์ข้อมูลสำหรับ AI ช้าลง
พนักงานที่ถูกไล่ออกส่วนใหญ่เป็นผู้บริหารระดับกลางและพนักงานฝ่ายซัปพอร์ตซึ่งเป็นตำแหน่งที่ช่วยในการประสานงาน ตรวจสอบ และรายงานผล แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเขียนโค้ดหรือการออกแบบระบบโดยตรง แม้ว่าตำแหน่งเหล่านี้จะช่วยให้การทำงานภายในลื่นไหลขึ้น แต่ตอนนี้บริษัทมองว่ากลายเป็นภาระค่าใช้จ่ายไปแทน
แหล่งข่าวของ Business Insider รายงานว่า Microsoft ต้องการเพิ่มอัตราส่วนพนักงานสายเทคนิคเมื่อเทียบกับจำนวนผู้จัดการ โดยไม่ได้เป็นแค่เรื่องการลดต้นทุนเท่านั้น แต่บริษัทยังต้องการลดจำนวนตำแหน่งตรงกลางระหว่างวิศวกรกับผู้ที่ตัดสินใจขั้นสุดท้ายอีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้น Financial Times รายงานว่า บริษัทใหญ่อย่าง Microsoft มีกระบวนการและขั้นตอนที่ยุ่งยากและหลายชั้นขั้นตอนเกินไป บริษัทต่าง ๆ กำลังลดความยุ่งยากตรงนี้ลง ไปเน้นที่ AI แทน
แผนการลงทุนของ Microsoft จะเน้นไปที่ AI เป็นหลัก โดย Reuters รายงานว่า Microsoft มีแผนลงทุนมากถึง 80,000 ล้านเหรียญไปในศูนย์ข้อมูล ซึ่งศูนย์ข้อมูลเหล่านี้จะใช้ขับเคลื่อนโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ซึ่งการลงทุนในครั้งนี้แสดงถึงความตั้งใจของ Microsoft ที่จะเป็นผู้นำด้าน AI ที่ไม่ใช่แค่ซอฟต์แวร์ แต่ยังรวมถึงฮาร์ดแวร์ คลาวด์ และการควบคุมอย่างเข้มงวดเกี่ยวกับวิธีการพัฒนาและใช้งาน AI
ความร่วมมือกันระหว่าง Microsoft กับ OpenAI ทำให้ Microsoft อยู่ในตำแหน่งผู้นำของโลกได้ แต่ Google, Meta, Amazon และ Apple ต่างก็กำลังพัฒนา AI ครั้งใหญ่เหมือนกัน ความได้เปรียบจะขึ้นอยู่กับโครงสร้างพื้นฐานที่อยู่เบื้องหลังของ AI
การตัดสินใจของ Microsoft เป็นที่ชัดเจนว่าแม้บริษัทจะมีรายได้ที่ดีก็ไม่ได้การันตีตำแหน่งในที่ทำงานได้อีกต่อไป การเติบโตของ AI ในปัจจุบันเป็นตัวผลักดันแผนผังองค์กรแทน ตำแหน่งที่เสี่ยงคือผู้บริหารระดับกลางและพนักงานสนับสนุนทั่วไปที่ไม่ใช่ฝ่ายเทคนิค หรือตำแหน่งที่ AI หรือระบบอัตโนมัติสามารถแทนที่ได้ก็ถือว่าค่อนข้างเสี่ยง
ที่มา AINEWS