สหภาพยุโรป แทบจะบีบให้ iOS เป็นระบบเปิดแบบ Android แล้ว

หลังจากสหภาพยุโรปเริ่มบังคับใช้กฏหมาย Digital Markets Act (DMA) ก็ทำให้ Apple ต้องเปลี่ยนระบบของ iOS – iPhone มากขึ้น โดยอย่างแรกที่ชัดสุดคือการบังคับใช้พอร์ต USB-C แทน Lightning รวมถึงการให้ผู้ใช้งานสามารถติดตั้งแอปพลิเคชันจากภายนอกและ App Store ของนักพัฒนาบริษัทอื่น ๆ ได้ด้วย

ดูเหมือนว่าสหภาพยุโรปจะไม่ได้พอใจแค่นั้น ล่าสุดมีการประกาศแนวทางเพิ่มเติมที่ทำให้ iOS แทบจะใกล้เคียงกับระบบเปิดอย่าง Android เลยด้วยในแง่ของการทำงาน

สิ่งที่สหภาพยุโรปต้องการคือให้ Apple ดำเนินการเปิดกว้างทางระบบนิเวศของตัวเองมากยิ่งขึ้นเพื่อทำให้ iOS, iPadOS และ macOS ทำงานกับอุปกรณ์ของบริษัทอื่นได้อย่างลื่นไหลมากกว่าเดิม ไม่ใช่แค่ลื่นไหลเฉพาะภายในระบบนิเวศของ Apple เองอีกต่อไป

9 ฟีเจอร์ที่ต้องเปิดมากขึ้น

  1. การแจ้งเตือน: อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับ iOS จะต้องได้รับการแจ้งเตือนจาก iOS และต้องสามารถสั่งการหรือตอบโต้ผ่านอุปกรณ์นั้น ๆ ได้ทันที ไม่ใช่กั๊กไว้แค่ Apple Watch
  2. การทำงานเบื้องหลัง: iOS จะต้องอนุญาตให้อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับ iOS สามารถทำงานเบื้องหลังได้โดยไม่ต้องเปิดแอปพลิเคชันเอาไว้
  3. การสลับเสียงอุปกรณ์อัตโนมัติ: ถือว่าเป็นฟีเจอร์เด่นของ AirPods ที่ผู้ใช้งานสามารถสลับเสียงได้โดยอัตโนมัติ โดย Apple จะต้องเปิดให้แบรนด์อื่นทำได้ด้วย
  4. การเชื่อมต่อ Wi-Fi อัตโนมัติ: ทำให้อุปกรณ์สามารถเข้าถึงข้อมูล Wi-Fi ที่ iPhone เคยเชื่อมต่อเอาไว้โดยอัตโนมัติ
  5. การจับคู่แบบง่าย: ฟีเจอร์เด่นของ AirPods คือเมื่อนำอุปกรณ์เข้ามาใกล้ ๆ จะทำให้จับคู่ได้ง่าย โดย Apple จะต้องขยายฟีเจอร์นี้ไปยังอุปกรณ์อื่นด้วย
  6. peer-to-peer Wi-Fi: iOS จะต้องเปิดให้เชื่อมต่ออุปกรณ์อื่นแบบ Wi-Fi Direct สำหรับการโอนถ่ายข้อมูลขนาดใหญ่ได้
  7. ไม่ผูกมัด AirDrop: Apple จะต้องทำให้ iOS มีทางเลือกในการแชร์ไฟล์ที่ไม่ผูกมัดเฉพาะแค่ AirDrop เท่านั้น
  8. media Casting: Apple ห้ามจำกัดการแคสต์ตคอนเทนต์หรือซื้อเฉพาะ AirPlay เท่านั้น แต่ต้องมีทางเลือกอื่นด้วย
  9. NFC Controller: อนุญาตให้แอปบน iPhone สามารถสื่อสารกับอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ เช่น สมาร์ตวอตช์ เพื่อส่งข้อมูลต่าง ๆ โดยไม่ต้องมี iPhone อยู่ด้วยได้

กำหนดการ

สหภาพยุโรปได้กำหนดระยะเวลาที่ฟีเจอร์เหล่านี้จะพร้อมใช้งานไว้ด้วย เช่น การแจ้งเตือน iOS สำหรับสมาร์ตวอตช์แบรนด์อื่น และฟีเจอร์การจับคู่อย่างง่ายจะต้องพร้อมใช้งานใน iOS beta ภายในสิ้นปี 2025 (แบบมีข้อยกเว้นบางประการให้) และจะต้องพร้อมใช้งานได้จริงภายในวันที่ 1 มิถุนายน 2026 เป็นต้น

การตอบสนองของ Apple

แน่นอนว่า Apple ย่อมไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว เนื่องจากบริษัททำซอฟต์แวร์เป็นระบบปิดเรื่อยมาก บริษัทออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการไว้ดังนี้

Apple ต้องเจอกับระเบียบของราชการที่มีความซับซ้อน ส่งผลให้เราพัฒนานวัตกรรมสำหรับผู้ใช้งานในยุโรปได้ช้าลง และเป็นการบังคับให้เราต้องแจกฟีเจอร์ใหม่ ๆ ของเราให้กับบริษัทที่ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เดียวกันได้ฟรี การกระทำดังกล่าวส่งผลเสียต่อผลิตภัณฑ์ของเราและต่อผู้ใช้ในยุโรป เราจะดำเนินการร่วมกับคณะกรรมาธิการยุโรปต่อไป

iOS ที่กำลังจะเป็นเหมือน Android

ด้วยความที่ Apple ทำซอฟต์แวร์แบบระบบปิด สิ่งที่ได้คือการทำงานที่ลื่นไหลในหลาย ๆ บริษัท เช่น การเชื่อมต่ออุปกรณ์อย่าง iPhone และ Apple Watch ที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่เราไม่สามารถหาประสบการณ์การใช้งานลักษณะนี้ได้จากฝั่ง Android เลย เช่นเดียวกับ AirDrop ที่เป็นฟีเจอร์ส่งไฟล์ภายในระบบนิเวศของ Apple ที่แข็งแกรงมาก

แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจสำหรับ Apple ที่บริษัททุ่มเทสร้างระบบนิเวศขึ้นมา แต่การทำซอฟต์แวร์ระบบเปิดจะเป็นประโยชน์ของผู้บริโภคเต็ม ๆ ยกตัวอย่าง การใช้งานสมาร์ตโฟน Pixel ของ Google สามารถใช้งานร่วมกับสมาร์ตวอตช์ยี่ห้ออื่นได้ เช่น Galaxy Watch 7 เป็นต้น แต่หากต้องการประสบการณ์การใช้งานที่ยอดเยี่ยมบน iPhone ก็มีทางเลือกเดียวคือ Apple Watch เท่านั้น

ที่มา Android Authority

Advertisement

Sidebar Search
Popular Now
Loading

Signing-in 3 seconds...

Signing-up 3 seconds...