เบื้องหลังหุ่นไดโนเสาร์ ใน ’Jurassic Park’ คืนชีพสัตว์สูญพันธุ์กว่า 65 ล้านปี

แฟรนไชส์หนัง ‘Jurassic’ เริ่มต้นขึ้นในปี 1993 กับหนัง ‘Jurassic Park’ ซึ่งเป็นการปฏิวัติวงการหนังด้วยเทคนิคการสร้างไดโนเสาร์ให้ดูสมจริงที่สุดเท่าที่เคยมีมา ผลงานชิ้นนี้ถูกกำกับโดย สตีเวน สปีลเบิร์ก (Steven Spielberg) ผู้ซึ่งมีวิสัยทัศน์ในการคืนชีพสิ่งมีชีวิตสูญพันธุ์กว่า 65 ล้านปีให้ปรากฏบนจอหนัง

ย้อนกลับไปก่อนปี 1993 ไม่มีหนังเรื่องใดสามารถสร้างไดโนเสาร์ที่สมจริงและเคลื่อนไหวได้อย่างน่าทึ่งเช่นนี้ เนื่องจากข้อจำกัดทางเทคโนโลยี CGI ยังไม่พัฒนาจนถึงขั้นที่สามารถสร้างสัตว์ใหญ่เคลื่อนไหวได้อย่างสมจริง สปีลเบิร์กจึงร่วมมือกับทีมงานผู้เชี่ยวชาญเพื่อสร้างเทคนิคใหม่ผสมผสานทั้งหุ่นยนต์กลไกและภาพกราฟิกคอมพิวเตอร์

สปีลเบิร์ก

ทีมสร้างหุ่นยนต์ไดโนเสาร์หลักคือ Stan Winston Studio ซึ่งก่อตั้งโดย สแตน วินสตัน (Stan Winston) ผู้เชี่ยวชาญด้านเอฟเฟกต์พิเศษและหุ่นยนต์กลไกระดับตำนาน เคยมีผลงานกับ ‘Predator’, ‘Terminator’, และ ‘Alien’

สำหรับ ‘Jurassic Park’ วินสตันและทีมได้ออกแบบหุ่นไดโนเสาร์ที่มีโครงสร้างภายในซับซ้อน ประกอบด้วยระบบไฮดรอลิกและมอเตอร์เซอร์โวที่สามารถควบคุมข้อต่อหลายสิบจุดเพื่อให้หุ่นเคลื่อนไหวอย่างสมจริง เช่น การหายใจ กะพริบตา การเคลื่อนไหวของกราม และการหันศีรษะ

หุ่นที-เร็กซ์ ขนาดเท่าจริงมีน้ำหนักหลายตัน มอเตอร์และระบบไฮดรอลิกต้องทนแรงกดและแรงเฉือนมหาศาล รวมทั้งต้องประสานงานกับผู้ควบคุมรีโมตหลายคนเพื่อสร้างการเคลื่อนไหวที่นุ่มนวลและเป็นธรรมชาติ

ขณะเดียวกัน Industrial Light & Magic (ILM) บริษัทเอฟเฟกต์พิเศษก่อตั้งโดย จอร์จ ลูคัส (George Lucas) ได้รับผิดชอบงาน CGI สร้างไดโนเสาร์แบบดิจิทัลในฉากที่หุ่นกลไกไม่สามารถทำได้ เช่น การวิ่งอย่างรวดเร็ว การกระโดด หรือฉากระยะไกล

ILM ใช้เทคนิค Digital Dinosaurs ที่พัฒนาขึ้นใหม่ในยุคนั้น พร้อมกับระบบกล้องจับการเคลื่อนไหว (motion capture) เพื่อถ่ายทอดลักษณะการเคลื่อนไหวอย่างสมจริง การผสมผสานระหว่าง Animatronics และ CGI ส่งผลให้ ‘Jurassic Park’ กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของหนังแนววิชวลเอฟเฟกต์ และได้รับรางวัลออสการ์สาขา Best Visual Effects เมื่อปี 1994

ในไตรภาคยุคใหม่อย่าง ‘Jurassic World’ (2015-2018) มีการใช้ CGI มากขึ้นเนื่องจากเทคโนโลยีพัฒนาไปไกล อย่างไรก็ตาม Animatronics ยังคงถูกนำมาใช้ในฉากที่ต้องการปฏิสัมพันธ์กับนักแสดงโดยตรง เช่น ไดโนเสาร์ขนาดเล็กและฉากระยะใกล้ เพื่อรักษาความสมจริงของแสงเงาและการตอบสนองในกองถ่าย

ภาคล่าสุดอย่าง ‘Jurassic World: Rebirth’ (2025) ที่มาถ่ายทำในไทยของผู้กำกับแกเร็ธ เอ็ดเวิร์ดส์ (Gareth Edwards) ตัดสินใจกลับมาเน้นการใช้ Animatronics ร่วมกับ CGI อย่างสมดุล ทาง Stan Winston Studio ยังคงเป็นผู้สร้างหุ่นจำลองไดโนเสาร์ โดยเฉพาะหุ่นขนาดเล็กอย่าง อะควิโลปส์ ที่ฝังระบบไมโครคอนโทรลเลอร์ และเซนเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวและเสียง เพื่อให้หุ่นตอบสนองแบบเรียลไทม์ ผ่านระบบควบคุมแบบรีโมตไร้สาย (Wi-Fi) นี่เป็นการนำเทคโนโลยี Internet of Things (IoT) และระบบหุ่นยนต์อัตโนมัติ มาประยุกต์ใช้ในงานหนัง เพื่อสร้างหุ่นที่มี “ปฏิสัมพันธ์” กับสิ่งแวดล้อมและนักแสดงจริงอย่างเป็นธรรมชาติ

ด้าน ILM ยังคงรับผิดชอบ CGI ขั้นสูงในขั้นตอน post-production โดยผสมผสานภาพดิจิทัลและหุ่นจริงอย่างไร้รอยต่อ เพื่อให้ไดโนเสาร์มีลักษณะและการเคลื่อนไหวสมจริงที่สุดทั้งในเชิงสายตาและฟิสิกส์ของผิวหนัง

แม้เทคโนโลยี CGI จะพัฒนาไปอย่างรวดเร็วและสามารถสร้างภาพไดโนเสาร์ที่สมจริงได้ในระดับสูง แต่ Animatronics ยังคงมีบทบาทสำคัญในกระบวนการสร้างหนัง เพราะการที่นักแสดงได้ปฏิสัมพันธ์กับวัตถุจริงบนกองถ่ายช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการแสดงและสร้างอารมณ์ร่วมได้ดีกว่า

นอกจากนี้ การมีหุ่นจริงในฉากทำให้การถ่ายทำเป็นไปอย่างรวดเร็วและลดความซับซ้อนของการจัดฉากที่ต้องพึ่งพาภาพกราฟิกภายหลัง ข้อดีอีกประการคือแสงและเงาที่ตกกระทบวัตถุจริงมีความสมจริงมากกว่าเมื่อเทียบกับการสร้างภาพด้วย CGI ในขั้นตอนหลังถ่ายทำ ซึ่งยังคงเป็นข้อจำกัดสำคัญของงานกราฟิกดิจิทัล

การผสมผสานเทคโนโลยีเหล่านี้จึงกลายเป็นนวัตกรรมที่ผสานศาสตร์ด้านวิศวกรรม หุ่นยนต์ และวิชวลเอฟเฟกต์ สร้างมาตรฐานใหม่ของการสร้างหนังแนวไซไฟและแอ็กชัน

Jurassic World: Rebirth’ เข้าฉายแล้ววันนี้ เช็กรอบเข้าได้ที่นี่เลย

Major Cineplex Group (MAJOR)

ที่มา: ILMYouTubeStan Winston School

Author Image

Editor-in-Chief ผู้เป็นทาสหมา นักดนตรีแจ๊ส และเขียนหนังสือได้นิดหน่อย

Advertisement

Sidebar Search
Popular Now
Loading

Signing-in 3 seconds...

Signing-up 3 seconds...