ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศไทยได้เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สำคัญ โดยเฉพาะการเข้ามาของเหล็กจากจีนที่มีบทบาทสำคัญในตลาดเหล็กของไทย การนำเข้าเหล็กจากจีนมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งอาจส่งผลกระทบที่สำคัญในระยะยาวกับความปลอดภัยในการก่อสร้างในประเทศ นอกจากนี้เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เมียนมาร์ซึ่งส่งผลกระทบต่อไทย เช่นการถล่มของตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ยังเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้เหล็กที่มีคุณภาพไม่เหมาะสมในการสร้างอาคารสูง
แม้ว่าเหล็กที่นำเข้าจากจีนจะได้รับการรับรองมาตรฐานจากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) และผ่านมาตรฐานมอก. ของไทยแล้ว แต่การใช้เหล็กจากจีนในการก่อสร้างอาคารสูงยังคงเป็นเรื่องที่เราต้องพูดถึง โดยเฉพาะในกรณีที่อาคารเหล่านี้ต้องรองรับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวหรือแรงภายนอกที่รุนแรง ซึ่งอาจเกิดจากเหล็กที่ไม่ได้คุณภาพดีพอ หรือวัสดุที่ไม่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในประเทศไทย
ในบทความนี้เราจะไปสัมภาษณ์คุณวินท์ สุธีรชัย CEO ของบริษัท เดอะสตีล จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเหล็กมากว่า 20 ปี และมองเห็นปัญหาของการเลือกใช้เหล็กในอาคารสูงจากมุมมองที่มีรายละเอียด เขาจะมาช่วยอธิบายถึงข้อดีข้อเสียของการนำเข้าเหล็กจากจีน ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการใช้เหล็กที่ไม่ได้มาตรฐาน รวมถึงแนวทางที่อุตสาหกรรมนี้ควรพิจารณาในอนาคต เพื่อให้ความปลอดภัยในการก่อสร้างอาคารสูงในประเทศไทยเป็นไปอย่างเหมาะสมและยั่งยืน
การนำเข้าเหล็กจากจีนมาใช้ในประเทศไทยนั้นไม่ได้หมายความว่าเหล็กเหล่านั้นถูกผลิตในประเทศจีนแล้วส่งเข้ามาในประเทศไทยเพียงอย่างเดียว ส่วนใหญ่แล้วคือการที่โรงงานจากจีนมาตั้งเครื่องจักรและผลิตเหล็กในประเทศไทย ซึ่งกระบวนการผลิตเหล่านี้ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานที่กำหนดในประเทศไทย โดยเฉพาะการผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ก่อนที่ผลิตภัณฑ์จะสามารถจำหน่ายในตลาดได้
แม้ว่าผลิตภัณฑ์เหล็กจากจีนที่ผลิตในประเทศไทยจะผ่านการตรวจสอบและได้รับการรับรองจาก สมอ. แต่หากการผลิตไม่ได้มาตรฐานหรือไม่ได้รับการตรวจสอบที่ดีพอ ก็จะส่งผลให้คุณภาพของเหล็กที่ได้ไม่สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในอาคารสูงที่ต้องรองรับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวหรือการขยับของโครงสร้างที่เกิดจากปัจจัยต่าง ๆ ซึ่งอาจเกิดปัญหากับการเสื่อมสภาพหรือการแตกหักของโครงสร้างในระยะยาว
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในกรณีของการถล่มของตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการเลือกใช้วัสดุที่อาจไม่ได้คุณภาพดีพอ ซึ่งในกรณีนี้เหล็กที่ใช้ในอาคารสูงนั้นเป็นเหล็กที่ผลิตในประเทศไทยโดยผู้ประกอบการจีน ซึ่งแม้ว่าเหล็กนี้จะผ่านมาตรฐานมอก. แต่เมื่อใช้ในอาคารสูงที่ต้องรองรับแรงสะเทือนจากแผ่นดินไหว กลับไม่สามารถรับมือได้และทำให้เกิดการพังทลายของอาคาร
เหล็กตัว T หรือที่เรียกว่า Temp Core เป็นหนึ่งในประเภทเหล็กที่ได้รับความนิยมในการก่อสร้างในประเทศไทย เหล็กประเภทนี้มีข้อดีในแง่ของราคาที่ถูกกว่าเหล็กชนิดอื่น ๆ และยังสามารถผลิตได้ง่ายในโรงงานที่มีเทคโนโลยีแบบทันสมัย โดยเฉพาะในกรณีที่ใช้เตา induction ซึ่งเป็นเตาแบบที่ใช้ในกระบวนการหลอมเหล็กของจีน
การใช้เทคโนโลยีเตาหลอมแบบ induction ในการผลิตเหล็กตัว T จะทำให้เหล็กมีลักษณะเฉพาะที่ไม่เหมือนกับเหล็กที่ผลิตด้วยวิธีการแบบเดิม ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพของเหล็กในหลายกรณี โดยเฉพาะในด้านความแข็งแรง การที่เหล็กตัว T มีการฉีดน้ำเย็นลงไปที่เหล็กที่ร้อนจัดทำให้เปลือกของเหล็กแข็งขึ้น แต่เนื้อในยังคงอ่อนอยู่ ซึ่งทำให้เกิดปัญหาความไม่สมดุลในการรับแรงจากแรงกระทำต่าง ๆ
เหล็กตัว T หรือ Temp Core จึงมีคุณสมบัติ “แข็งนอกอ่อนใน” ซึ่งทำให้มันไม่เหมาะสมในการใช้งานในอาคารสูงหรืออาคารที่ต้องรองรับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว เนื่องจากการรับแรงในลักษณะนี้ต้องการวัสดุที่มีความแข็งแรงและยืดหยุ่นในการรับแรงได้อย่างทั่วถึง เหล็กตัว T ไม่สามารถตอบโจทย์นี้ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งทำให้เกิดปัญหาความเสี่ยงในโครงสร้างอาคารที่ใช้เหล็กชนิดนี้
แม้ว่าผลิตภัณฑ์เหล็กจากจีนที่ผลิตในประเทศไทยจะผ่านมาตรฐานมอก. ของประเทศไทยแล้ว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันเหมาะสมกับการใช้งานในทุกสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะในกรณีของการใช้เหล็กในอาคารสูง การทุ่มตลาดของเหล็กจากจีนที่มีราคาถูกกว่าผลิตภัณฑ์ในประเทศทำให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมในตลาดเหล็กไทย ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการในประเทศไม่สามารถแข่งขันได้อย่างเท่าเทียม
การที่เหล็กจากจีนสามารถเข้ามาตีตลาดในไทยได้ในราคาที่ถูกกว่าทำให้เกิดการตัดสินใจเลือกใช้วัสดุราคาถูกจากผู้รับเหมาและผู้ประกอบการ ซึ่งทำให้ต้นทุนในการก่อสร้างต่ำลง แต่ในขณะเดียวกันอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพของงานก่อสร้างในระยะยาว เพราะการเลือกใช้วัสดุราคาถูกมากเกินไปอาจทำให้เกิดความเสี่ยงในการใช้งานได้
การที่รัฐไทยยังไม่มีการกำหนดกฎหมายที่ชัดเจนในการควบคุมการเลือกใช้วัสดุในการก่อสร้างอาคารสูง ทำให้เกิดช่องโหว่ในการตรวจสอบและเลือกวัสดุที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะเมื่อวัสดุเหล่านั้นไม่สามารถรองรับแรงจากแผ่นดินไหวหรือภัยพิบัติทางธรรมชาติได้ รัฐไทยควรออกกฎระเบียบที่ชัดเจนในการกำหนดวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง และควรควบคุมไม่ให้เกิดการใช้วัสดุที่ไม่เหมาะสมหรือมีความเสี่ยงในการใช้งาน
การกำหนดกฎระเบียบเกี่ยวกับการเลือกใช้วัสดุในการก่อสร้างอาคารสูงเป็นสิ่งที่จำเป็น เนื่องจากอาคารสูงมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน และต้องรองรับแรงจากภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น แผ่นดินไหว หรือพายุรุนแรง หากการเลือกวัสดุไม่เหมาะสม จะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของประชาชนในอนาคต
ในการสร้างอาคารที่ไม่สูงมาก เช่น อาคาร 1-2 ชั้น หรือบ้านพักอาศัย เหล็กตัว T หรือ Temp Core สามารถใช้ได้โดยไม่มีปัญหาหากผ่านมาตรฐาน มอก. ของไทย ซึ่งสามารถรองรับความต้องการในการก่อสร้างในลักษณะนี้ได้จริง โดยไม่พบปัญหาใด ๆ แต่สิ่งที่เราต้องระมัดระวังคือการเลือกใช้เหล็กที่ไม่เหมาะสมกับลักษณะงาน เช่น การเลือกใช้เหล็กราคาถูกเกินไปในกรณีที่ต้องการความแข็งแรงสูง ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาตามมาในอนาคตได้
หากประชาชนหรือผู้ที่ต้องการสร้างบ้าน 2 ชั้นหรืออาคารที่มีความสูงไม่มาก กังวลเกี่ยวกับการใช้เหล็กตัว T ก็สามารถเลือกใช้เหล็ก Non-T ที่มีราคาสูงขึ้นได้ ซึ่งจะไม่มีปัญหาคุณภาพแน่นอน อย่างไรก็ตาม หากในกรณีที่บ้านหรืออาคารนั้น ๆ ใช้เหล็กตัว T อยู่แล้ว ผมยืนยันว่าไม่มีปัญหาหากไม่ใช่อาคารสูง เพราะเหล็กตัว T สามารถใช้งานได้ดีในอาคารที่ไม่สูงเกินไป
ในฐานะที่ผมเป็นคนที่ทำงานในวงการเหล็กมากว่า 20 ปี ผมเห็นว่าเราควรพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจัง ทั้งในแง่ของคุณภาพเหล็กที่นำเข้ามา การตรวจสอบและควบคุมการผลิตที่ถูกต้องตามมาตรฐาน และการกำหนดกฎหมายที่เหมาะสมในการใช้วัสดุก่อสร้างสำหรับอาคารสูง
ในอนาคตประเทศไทยควรยกระดับการควบคุมและตรวจสอบการเลือกใช้วัสดุในการก่อสร้าง โดยเฉพาะสำหรับอาคารสูง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อชีวิตและความปลอดภัยของประชาชน และเพื่อให้ประเทศไทยมีการก่อสร้างที่ปลอดภัยและยั่งยืนในระยะยาว
จากบทสัมภาษณ์นี้เห็นได้ว่าเหล็กที่ผลิตโดยโรงงานจีนที่อยู่ในไทย แต่ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการเลือกใช้วัสดุที่ไม่เหมาะสมและคุณภาพที่ไม่ถึงเกณฑ์ โดยเฉพาะกับอาคารสูง ควรได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบในอนาคต