จากกรณีคุณเอ๋ พรทิพย์ พบมะเร็งปอดระยะที่ 1 แม้ว่าไม่ได้มีพฤติกรรมเสี่ยง แต่แพทย์ระบุว่า PM 2.5 ก็ถือว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดมะเร็งปอดได้เหมือนกัน เรื่องนี้มีหลักฐานชัดเจนว่าการที่เราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มี PM 2.5 ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งได้ภายในระยะเวลา 3 ปีเท่านั้น
งานวิจัยจากกลุ่มตัวอย่างผู้ป่วยมะเร็งกว่า 33,000 รายพบว่าการได้รับมลพิษที่มีความเข้มข้นสูงมีความเกี่ยวพันกับอัตราการเป็นโรคมะเร็งปอดชนิดที่เกี่ยวข้องกับรีเซปเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของเซลล์ผิวหนัง (EGFR) ซึ่งมักพบในผู้ที่ไม่สูบบุหรี่หรือสูบบุหรี่ไม่หนักมาก ซึ่ง ชาร์ลส์ สวอนตัน (Charles Swanton) นักวิจัยด้านมะเร็งจากสถาบันฟรานซิส คริกในสหราชอาณาจักรกล่าวว่า โดยปกติเมื่อเราอายุเยอะขึ้นก็จะมีเซลล์มะเร็งเกิดขึ้นในร่างกายเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่โดยปกติแล้ว เซลล์เหล่านี้จะไม่ได้ทำตื่นขึ้นมา
เป็นที่ชัดเจนว่ามลพิษทางอากาศเป็นปัจจัยกระตุ้นเซลล์มะเร็ง ทำให้เติบโตจนเป็นเนื้องอกได้
ชาร์ลส์ สวอนตัน
ตามผลการวิจัย อุบัติการณ์ของมะเร็งปอด EGFR ชนิดกลายพันธุ์ จะเพิ่มขึ้นเมื่อผู้ป่วยมีการสัมผัสกับ PM2.5 เพิ่มขึ้น ข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้เข้าร่วม 407,509 คนใน UK Biobank ยันยันว่า PM 2.5 มีผลต่อการเป็นมะเร็งจริง ยังมีข้อมูลกลุ่มตัวอย่างผู้ไม่สูบบุหรี่ 228 คนในแคนาดาชี้ชัดว่า หลังจากสัมผัสกับ PM2.5 ในระดับสูงเป็นเวลา 3 ปี ความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งปอด EGFR เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 40 เป็นร้อยละ 73
ผู้ทำวิจัยได้ใช้หนูทดลองที่มียีนกลายพันธุ์ EGFR จะพัฒนากลายเป็นมะเร็งเร็วขึ้นเมื่อสัมผัส PM2.5 แต่พอให้ยาต้าน interleukin-1 (IL-1) กับหนู การเกิดมะเร็งจะลดลงชัดเจน (IL-1 คือ ตัวควบคุมการตอบสนองของภูมิคุ้มกันและการอักเสบ)
อย่างไรก็ตาม คณะวิจัยระบุว่าการทดลองดังกล่าวยังมีข้อจำกัดอยู่ โดย หนูทดลองมีแนวโน้มจะเกิดมะเร็งอยู่แล้ว อาจพัฒนาเนื้องอกได้แม้ไม่ได้สัมผัสกับ PM2.5 และกลุ่มตัวอย่างนี้อาจไม่แสดงการกลายพันธุ์ที่หลากหลายเท่าที่พบในเนื้อเยื่อของหนูโตเต็มวัย อย่างไรก็ตาม การทดสอบนร่ได้เปิดโอกาสให้นักวิทยาศาสตร์สามารถศึกษาการเจริญเติบโตของเนื้องอกในระยะเริ่มต้นภายใต้การมีปัจจัยควบคมได้
ที่มา ScienceAlert