ทรัมป์เล่นแรงกับภาษี ทำ iPhone แพงหูฉี่ได้ยังไง ?

ช่วงเวลาที่ผ่านมา ที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าในหลายประเทศ ทำให้เกิดประเด็นสังคมขึ้นมาใหญ่โตว่า ‘แล้ว iPhone จะขึ้นราคาจริงไหม’ บทความนี้จะเป็นการให้คำตอบว่าสรุปแล้ว เราจะต้องซื้อ iPhone แพงขึ้นไหม

ปูพื้นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

เรื่องการขึ้นภาษีนั้นเป็นเรื่องที่มีการพูดถึงมานานแล้ว แต่เรื่องนี้เริ่มมามีประเด็นเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา ที่ทรัมปืได้ประกาศ ‘Tariff’ หรือภาษีศุลกากร ที่เพิ่มให้กับสินค้า ซึ่งได้เรียกเก็บไปยังประเทศที่ส่งออกสินค้าเข้าไปยังอเมริกา โดยปกติแล้วจะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าสินค้า เช่น ถ้าสินค้ามีราคานำเข้า 10 เหรียญ และอัตราภาษีอยู่ที่ 25% ผู้นำเข้าก็ต้องจ่ายภาษีเพิ่มอีก 2.50 เหรียญ ทำให้ต้นทุนสุทธิสำหรับของชิ้นนั้นสูงขึ้น และการประกาศขึ้นภาษีของทรัมป์ ก็ได้ออกมาเป็นตารางที่โชว์ให้เห็นเลยว่าจะประกาศภาษีขึ้นกับประเทศไหนบ้าง ลองดูตารางด้านล่างประกอบได้

ประเทศภาษีที่ทรัมป์ประกาศจะขึ้นเพิ่มในตอนแรก
จีน34%
สหภาพยุโรป20%
เวียดนาม46%
ไต้หวัน32%
ญี่ปุ่น24%
อินเดีย26%
เกาหลีใต้25%
ไทย36%
สวิตเซอร์แลนด์31%
อินโดนิเซีย32%
มาเลเซีย24%
กัมพูชา49%
สหราชอาณาจักร10%
แอฟริกาใต้30%
บราซิล10%
บังกลาเทศ37%
สิงคโปร์10%
อิสราเอล17%
ฟิลิปปินส์17%
ลาว48%
ศรีลังกา44%
ตารางโชว์อัตราภาษีที่ทรัมป์ประกาศเพิ่มเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา

โดยทรัมป์มองว่าการประกาศขึ้นภาษีศุลกากรนี้ เป็นเครื่องมือสำคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจอเมริกัน โดยเชื่อว่าภาษีศุลกากรจะกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาเลือกใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศมากขึ้น สร้างรายได้ให้รัฐเพิ่มขึ้น และดึงดูดการลงทุนกลับเข้าสู่ประเทศด้วย

แต่การขึ้นภาษีนี้ ทรัมป์ไม่ได้บอกว่ามีที่มาจากอะไร ซึ่งของประเทศไทยนั้น ได้มี ไคล์ แฮนด์ลี่ (Kyle Handley) ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย แซนดีเอโก ได้ตรวจสอบตัวเลขที่เพิ่มมาแล้วพบว่าเลขที่ขึ้นมานั้น มาจาก ‘ยอดขาดดุลการค้า หารด้วยปริมาณการนำเข้าของสหรัฐ’ ซึ่งประเทศไทย ส่งออกไปสหรัฐฯ มูลค่า 63,328 ล้านเหรียญ แต่นำเข้าเพียง 17,719 ล้านเหรียญ ทำให้สหรัฐฯ ขาดดุลการค้า 45,609 ล้านเหรียญ นับเป็น 72% ของมูลค้าการนำเข้า เมื่อหารครึ่งแล้ว ทำให้เป็นจำนวน 36% ที่ทรัมป์ประกาศเพิ่มภาษีศุลกากรกับไทยนั่นเอง

สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาก็คือ Apple หุ้นร่วง 8% จากประกาศนี้ โดยจะมีประเทศจีน ซึ่งเป็นฐานการผลิตของ iPhone, เวียดนาม ที่เป็นฐานผลิต AirPods และ MacBook ที่เจอภาษีขึ้นหนัก และมูลค่าของตลาดก็ลดลงไปกว่า 851,500 ล้านบาทด้วย โดยคนอเมริกา ต่างพากันซื้อ iPhone หลังกังวลว่าราคาจะขึ้นสูงเพราะภาษีศุลกากรนี้ ในวันที่ 5 และ 6 เมษายนที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า

‘ทรัมป์’ อยากให้ iPhone ผลิตได้ในอเมริกา

เราได้พูดคุยกับปีเตอร์กวง – พีระพล ฉัตรอนันทเวช เพื่อตอบคำถามที่คนสงสัยในขณะนั้น โดยเฉพาะคำถามที่ว่า “iPhone ในไทยจะแพงขึ้นไหม ?” ซึ่งเขาได้ให้คำตอบว่า iPhone ในประเทศไทยนั้นไม่น่าจะขึ้นราคาได้ เนื่องจากในปัจจุบัน iPhone นั้นผลิตในประเทศจีน หรือเวียดนามเป็นส่วนมาก และต่อให้เป็นจากทางโซนนั้น ที่ผ่านมาก็มีข้อตกลงในด้านการค้ามาโดยตลอด ภาษีนำเข้าโทรศัพท์มือถือ สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ไอที ในบ้านเรานั้นเป็นอัตรา 0% เพราะดีลการค้าระหว่างประเทศ ภายใต้สนธิสัญญา WTO ซึ่งจะดูจากแหล่งผลิตต้นทางเป็นหลัก ว่าส่งจากที่ไหน ผลิตจากที่ไหน ซึ่งปกติแล้ว iPhone และสมาร์ตโฟนแบรนด์จีน ก็ล้วนผลิต และส่งตรงจากจีนทั้งนั้น การเก็บภาษีนำเข้าสมาร์ตโฟนบ้านเราจึงไม่มีภาษี (0%) มีแต่ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% (ซึ่งสินค้าทุกชนิดที่จำหน่ายก็ต้องมี VAT 7% อยู่แล้ว) แต่เอาเข้าจริง iPhone อาจมีการปรับราคาได้ ก็ต่อเมื่อ Apple มีการปรับราคาขายส่งให้คู่ค้าในไทย แบบนั้นราคาจะปรับขึ้นแน่นอน ซึ่งการปรับขึ้นของราคาขายส่งทั่วโลก จะเกิดขึ้นไหม อยู่ที่ทิศทางของ Apple สำนักงานใหญ่ทำให้ต่อให้ตอนนี้ภาษีศุลกากรสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นไปแล้ว ไทยก็อาจจะไม่ได้มีผลกระทบมากนัก

ที่จะมีผลกระทบมากขึ้น คือคนอเมริกาที่อาจจะต้องซื้อ iPhone แพงขึ้นมากกว่า เพราะว่าสุดท้ายแล้ว คนอเมริกาก็ต้องซื้อ iPhone ที่นำเข้าจากต่างประเทศอยู่ดี แต่ปีเจอร์กวงก็ได้คาดเดาว่า อาจจะมีดีลที่พูดคุยกันหลังบ้านเพื่อยกเว้นภาษีในสิ่งของบางอย่าง เช่นสินค้าเทคโนโลยีมากกว่า แต่ในขณะเดียวกัน ทรัมป์ก็อยากให้ iPhone กลับมาผลิตในประเทศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สหรัฐฯ กลับมา ‘ยิ่งใหญ่’ อีกครั้ง (Make America Great Again) เพราะพอ iPhone กลับมาผลิตในประเทศได้ ก็จะทำให้เกิดทั้งการลงทุน การจ้างงาน การผลิต และอื่น ๆ ที่สูงขึ้นในประเทศ ซึ่งเป็นผลดีกับประเทศแน่นอน แต่ว่าจะมีความเป็นไปได้หรือเปล่า ที่ Apple จะดึง iPhone กลับมาผลิตในอเมริกา

ที่ผ่านมา การที่ Apple เลือกที่จะผลิต iPhone ในประเทศอื่นนั้นมีเหตุผลมาจากหลายอย่าง เช่นว่า นอกจากจีนจะมีแรงงานที่ราคาไม่สูงเท่าสหรัฐฯ แล้ว ยังมีแรงงานที่มีทักษะเฉพาะทาง และบุคลากรจำนวนมากในระดับที่สหรัฐฯ ไม่สามารถเทียบได้ เช่น ความเชี่ยวชาญด้านแม่พิมพ์ (tooling) ที่จำเป็นต่อกระบวนการผลิต แต่ในขณะเดียวกัน แรงงานสหรัฐฯ ก็มีค่าแรงที่สูงกว่า จนถ้า iPhone ผลิตในสหรัฐฯ จริง ก็อาจทำให้ iPhone มีราคาที่สูงถึง 3,500 เหรียญ หรือประมาณ 120,000 บาทเลยทีเดียว แม้ทรัมป์จะยังเชื่อว่า อเมริกามีทั้งแรงงาน ทรัพยากรที่มากพอ และถ้าเกิดว่า Apple คิดว่าจะทำโรงงานผลิต iPhone ในสหรัฐฯ ไม่ได้จริง ก็คงไม่ตัดสินใจลงทุน 5 แสนล้านเหรียญ ซึ่งเป็น ‘เงินทอนก้อนใหญ่’ (big chunk of change) นี้ในอเมริกาแน่ ๆ

สรุปแล้ว ทรัมป์ก็ยังไม่ลงมือ (ยกเว้นกับจีน)

แต่จนแล้วจนรอด วันนี้ (10 เมษายน) กลายเป็นว่าโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ได้ประกาศชะลอการขึ้นภาษีศุลกากรนี้ไปอีก 90 วัน จากตอนแรกที่ประกาศให้ขึ้นภาษีภายในวันที่ 9 เมษายนที่ผ่านมา ทำให้ตามหลักแล้ว ทุกประเทศยังคงมีอัตราภาษีที่ 10% อยู่ เกิดจากการที่มีกว่า 75 ประเทศ ได้ติดต่อทางสหรัฐฯ เพื่อขอเจรจาเกี่ยวกับภาษีศุลกากรและประเด็นการค้าที่เกี่ยวข้อง แต่ว่าจะมีแค่ประเทศจีน ที่ได้ตอบโต้ด้วยการเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เป็น 84% ซึ่งทำให้ความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสองประเทศยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ทรัมป์ก็เลยขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนไปอีก เป็น 125%

นั่นแปลว่า iPhone ในอเมริกาอาจจะยังทวีคูณความแพงเข้าไปอีก จนทำให้นักวิเคราะห์ออกมาบอกว่า iPhone 16 Pro Max รุ่นเริ่มต้น อาจมีราคาทะลุ 64,000 บาทเลยทีเดียว คือจากเดิมที่ขายในราคา 1,119 เหรียญ (ประมาณ 38,239.59 บาท) ก็อาจขึ้นราคาเป็น 1,874 เหรียญ (64,040.20 บาท) เลย กลายเป็นว่าคนอเมริกาอาจจะต้องเจอกับราคา iPhone ที่แพงกว่าคนนอกสหรัฐฯ ที่หนักหน่วงกว่าเดิมอีกไม่น้อย ในขณะที่ปัญหานี้ ก็จะไม่เกิดกับคนนอกสหรัฐฯมากนัก เพราะเรื่องของการผลิตและส่งออกไปยังประเทศนั้น ๆ โดยไม่ผ่านอเมริกา อย่างที่บอกไว้ก่อนหน้านี้

ทางออกของ Apple ในตอนนี้ ก็คงต้องหันไปนำเข้า iPhone จากโรงงานในประเทศอื่น เช่นอินเดียแทน เพราะอย่างน้อย ภาษีนำเข้าของอินเดียน่าจะถูกกว่า เพราะยังไงอินเดียคงเจรจาจบได้ไม่ยากในกรอบ 90 วันนี้ แถมตอนนี้อินเดียก็ไม่ใช่ประเทศคู่กรณีกับสหรัฐ ต่างจากจีนที่เป็นคู่กรณีหลักในเคสนี้

ส่วนอีกทางหนึ่ง คือทรัมป์ได้กล่าวถึงไว้ว่าอาจจะมีการยกเว้นกับสินค้านำเข้าบางบริษัทที่เป็นสัญชาติอเมริกา เหมือนตอนสมัยที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยแรก ซึ่งก็ได้เว้นภาษีนำเข้าให้ Apple มาแล้ว ต้องติดตามกันต่อไปว่าทรัมป์จะตัดสินใจเรื่องนี้อย่างไร

แล้วไทยต้องทำอย่างไรต่อไป ?

สุดท้าย เราได้ถามเรื่องก้าวต่อไปของไทย ว่าควรทำอย่างไรต่อไปจากทางปีเตอร์กวง และได้คำตอบว่า จากสถานการณ์ของทรัมป์ และสหรัฐฯ​ ในตอนนี้ ผู้ประกอบการไทยเองก็จำเป็นต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะสินค้าที่มีคู่แข่งจากประเทศอื่น เช่น ข้าว เสื้อผ้า หรืออาหารทะเล หากราคาสินค้าจากไทยสูงขึ้นเนื่องจากภาษี ผู้บริโภคชาวอเมริกัน อาจหันไปเลือกสินค้าจากประเทศที่ภาษีน้อยกว่า ส่งผลให้ผู้ส่งออกไทยสูญเสียตลาดในสหรัฐฯ และทำให้ภาคเอกชนไทยต้องหาทางเลือกอื่นต่อ เช่น หาตลาดใหม่ หรือเปลี่ยนกลยุทธ์ด้านราคาและต้นทุน

ขณะเดียวกัน รัฐบาลไทยเองก็ต้องเร่งเข้าไปมีบทบาทในการเจรจาการค้า เช่น ลดข้อจำกัดภาษีที่สหรัฐฯ มองว่าไม่เป็นธรรมกับสินค้านำเข้าของตนเอง เพื่อรักษาสมดุลการค้าและเปิดทางให้สินค้าจากไทยยังแข่งขันได้ในตลาดอเมริกา หากไม่สามารถลดผลกระทบได้ทันที รัฐบาลควรสนับสนุนภาคเอกชนในการหาตลาดใหม่ในภูมิภาคอื่น ควบคู่กับการจัดการเจรจากับรัฐบาลสหรัฐฯ ในระดับ G2G (Government to Government) เพื่อหาทางออกที่เป็นธรรมและยั่งยืนต่อไปในระยะยาว

แม้สงครามภาษีของทรัมป์ จะถูกมองว่าเป็นยุทธศาสตร์ที่เกิดขึ้นเพื่อฟื้นเศรษฐกิจอเมริกา แต่ผลกระทบกลับกระจายไปไกลกว่านั้น ทั้งต่อตลาดโลกและผู้บริโภคในสหรัฐฯ เอง ที่อาจต้องจ่าย iPhone แพงขึ้น แต่ก็อาจจะเพราะความต้องการการเจรจากับทางสหรัฐฯ ก็ได้ เลยทำให้ทรัมป์เลือกเดินในเส้นทางนี้ แต่ไทยที่โดนปรับภาษีศุลการกรขึ้น ก็ใช่ว่าจะนิ่งนอนใจได้เพียงอย่างเดียว เพราะประเทศไทยเรายังคงเป็นประเทศที่เน้นการส่งออก และการส่งสินค้าไปจำหน่ายในอเมริกานั้น ก็จะยิ่งยากขึ้น เมื่อกำแพงภาษีสูงเกินที่จะรับไหว ภาคธุรกิจและรัฐต้องมองให้ขาดและเดินเกมให้ทัน ก่อนการค้ากับสหรัฐฯ จะยิ่งย่ำแย่ไปกว่านี้

ที่มา : The Guardian, BBC, X (Kyle Handley)

นักเขียนตัวเล็กๆ (?) ที่โตมากับไขควงและเมนบอร์ด เพราะโดนเกณฑ์เป็นลูกมือช่างซ่อมคอม (ที่เรียกว่าพ่อ) มาตั้งแต่เด็ก ๆ โตมาเลยมาเอาดีเรื่องเทคฯแทน ชอบตามข่าวเทคฯ ใหม่ ๆ ลอง Gadget แปลก ๆ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ตโฟน หูฟัง คอมพิวเตอร์ แล้วเอามาเล่าให้ฟังกัน

Advertisement

Sidebar Search
Popular Now
Loading

Signing-in 3 seconds...

Signing-up 3 seconds...