ทำเอาสตูดิโอผู้สร้างภาพยนตร์อึ้งไปตาม ๆ กัน อยู่ดี ๆ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเก็บภาษีหนังที่สร้างในต่างประเทศ 100% โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า โดยให้เหตุผลเพื่อหวังกอบกู้วงการหนังอเมริกันที่กำลังจะตาย
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์ลงโซเชียลมีเดีย ประกาศกร้าว จะทำให้ภาพยนตร์กลับมาถ่ายทำในสหรัฐอเมริกาอีกครั้ง ด้วยการให้กระทรวงพาณิชย์ และตัวแทนการค้าสหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีนำเข้า 100% กับหนังที่สร้างในต่างประเทศ โดยที่ไม่บอกรายละเอียดอย่างอื่นเลย
ทรัมป์ให้เหตุผลว่า “อุตสาหกรรมภาพยนตร์ในอเมริกากำลังจะตายอย่างรวดเร็ว เนื่องจากหลายประเทศใช้แรงจูงใจมากมายเพื่อดึงสตูดิโอ และผู้สร้างภาพยนตร์ออกไปจากสหรัฐฯ นี่ถือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ”
การออกมาประกาศเก็บภาษีในครั้งนี้ ส่งผลให้เกิดความวุ่นวายในตลาดภาพยนตร์ทั่วโลก ที่ผ่านมา ค่าแรงในสหรัฐฯ สูงมากจนกลายเป็นปัญหาใหญ่ของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ส่งผลให้งานและการผลิตภาพยนตร์ในฮอลลีวูดค่อย ๆ ลดน้อยลงทุกที
ตามข้อมูลขององค์กรไม่แสวงหากำไร FilmLA พบว่า การผลิตรายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์ และโฆษณาทั้งหมด ลดลงในพื้นที่ลอสแอนเจลิสในช่วง 3 เดือนแรกของปีลดลงถึง 22.4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ต้องบอกว่าในช่วงกว่า 20 ปีที่ผ่านมานั้น สตูดิโอภาพยนตร์ใหญ่ ๆ ได้ย้ายฐานการผลิตภาพยนตร์ ไปถ่ายทำในประเทศที่ต้นทุนถูกกว่า เช่น แคนาดา สหราชอาณาจักร บัลแกเรีย นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย รวมถึงประเทศอื่น ๆ ที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ จูงใจให้เกิดการจ้างงานคนในพื้นที่
ฮอลลิวูดเองก็ยังไม่ฟื้นตัวจากการระบาดของโควิด-19 ซึ่งทำให้เกิดการหยุดงานประท้วง รวมถึงบริษัทบันเทิงเก่าแก่หลายแห่ง ก็มีการเลิกจ้างงาน ในขณะที่หลายบริษัท ก็ใช้เงินเกินตัวเพื่อสร้างบริการสตรีมมิ่งเพื่อแข่งขันกับ Netflix
ทางฝั่งของ Randy Greenberg โปรดิวเซอร์คนหนึ่งได้โพสต์ LinkedIn เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า “การเก็บภาษีศุลกากรนี้ จะส่งผลเสีย มากกว่าการช่วยฮอลลีวูด ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตหนังเพิ่มขึ้น แน่นอนว่าต้นทุนที่เพิ่ม ก็จะไปรวมอยู่ในค่าตั๋วที่แพงขึ้น คนก็จะเข้ามาดูหนังน้อยลง”
ที่มา latimes