ทำไมต้องใช้ หมา ‘K-9’-หุ่นหมาไซเบอร์ ช่วยกู้ภัยตึก สตง.

dailygizmoTech & Innovation1 month ago23 Views

หนึ่งในฮีโรของเหตุการณ์อาคาร สตง. ถล่มคือ สุนัข K-9 ที่รับหน้าที่ค้นหาผู้ประสบภัยที่ติดใต้ซากอาคาร จนเกิดเป็น #สุนัขK9 บน X ยกย่องการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ 4 ขา ขณะเดียวกันยังมีการใช้หุ่นยนต์สุนัขไซเบอร์เข้ามาช่วยในภารกิจครั้งนี้ด้วย

ทำความรู้จัก K-9 กันก่อน

K-9 มาจากภาษาละตินพ้องเสียงกับคำว่า Canine ที่แปลว่า ‘สุนัข’ เป้าหมายของการนำสุนัข K-9 มาใช้คือช่วยเจ้าหน้าที่ในภารกิจต่าง ๆ เช่น รักษาความปลอดภัย ค้นหาคนร้ายหรือสารเสพติด เก็บกู้ระเบิด จนไปถึงภารกิจค้นหาและกู้ภัย

ข้อดีของสุนัขที่ต่างจากสัตว์อื่น คือ ลักษณะนิสัยซื่อสัตย์ต่อเจ้าของ มีสัญชาตญาณในการค้นหาที่ดีกว่า แถมหู ตา จมูกของมันรับรู้ได้ดีกว่าคน ตาเห็นชัดกว่าคน 10 เท่า หูของสุนัขได้ยินเสียงดีกว่าคน 20 เท่า ส่วนจมูกรับกลิ่นได้ดีกว่าคน 40 เท่า

ส่วนพันธุ์ที่นิยมใช้ฝึกนั้นก็มีหลากหลาย เช่น เยอรมัน เชพเพิร์ด, ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์, ร็อตไวเลอร์, เบลเยียม มาลินอยส์, บีเกิล, แจ็ค รัสเซลล์ เป็นต้น ซึ่งจะนำมาฝึกตั้งแต่อายุน้อย ๆ ตั้งแต่ 3 เดือน ใช้เวลาฝึกประมาณ 3-4 เดือนถึงใช้งานได้

ปกติแล้วสุนัข K9 จะไม่ได้สามารถปฎิบัติการได้ครอบคลุมทุกสถานการณ์ เพราะสุนัขแต่ละตัวจะแบ่งฝึกให้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะตามแต่หน้าที่ เช่น สุนัขค้นหาวัตถุระเบิด สุนัขค้นหายาเสพติด สุนัขติดตามหรือสะกดรอย สุนัขอารักขาหรือจู่โจม สุนัขแยกพิสูจน์กลิ่นของกลาง

ส่วนสุนัขค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัย จะฝึกให้ค้นหาผู้รอดชีวิตด้วยการใช้ประสาทหู ตา จมูก เริ่มจากฟังเสียงหายใจ ไปจนถึงการส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ การเคาะ การขยับตัว เมื่อพบผู้ประสบภัยก็จะส่งสัญญาณให้ครูฝึกทราบผ่านการเห่าหรือตะกุยพื้นที่

ข้อจำกัดของสุนัข K-9

สุนัข K-9 นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนกันคน เวลามาปฏิบัติงานจริงนั้นจะมีปัญหาและอุปสรรคหลายอย่าง เช่น ถ้าอากาศร้อนเกินไปอาจทำให้เกิดฮีทสโตรกได้, การเดินสำรวจซากปรักหักพังเท้าอาจบาดเจ็บจากการป่ายปีนหรือเหยียบเข้ากับวัตถุที่เป็นอันตรายได้, การสูดดมฝุ่นจำนวนมากทำให้ระบบหายใจผิดปกติได้ จนไปถึงการทำงานต่อเนื่องเป็นเวลานาน ๆ

นั่นจึงทำให้หลาย ๆ บริษัทเทคโนโลยีเริ่มพัฒนาหมาไซเบอร์ หรือ หุ่นยนต์ Cyber Dog ขึ้นมาช่วยในการกู้ภัย ตัวที่หลาย ๆ คนรู้จักก็จะมี Spot จากค่าย Boston Dynamics และ Unitree Go1 จากค่าย Unitree Robotics ที่วางขายเชิงพาณิชย์มาหลายปีแล้ว

ตัวหุ่นยนต์เป็นหุ่นยนต์สี่ขา มาพร้อมกล้อง 360 องศา เซนเซอร์ LiDAR กล้อง 360 องศา และกล้องจับความร้อน ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างแผนที่และหลบหลีกสิ่งกีดขวางได้แบบ real time ส่วนการทำงานนั้นจะเน้นโปรแกรมเส้นทางไว้ล่วงหน้าหรือปล่อยให้ Spot จัดการงานซ้ำ ๆ ส่วนน้ำหนักตอนนี้แบกรับได้มากสุดราว ๆ 14 กิโลกรัม

งานกู้ภัยในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่มีการนำหุ่นยนต์หมาไซเบอร์มาช่วย หุ่นตัวนี้เป็นของคุณกลพัฒน์ บุญเหลือ นักศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ที่ได้เคยแชมป์หุ่นยนต์ประดิษฐ์มาก่อน

ตัวหุ่นมีขนาดเล็กสามารถไต่พื้นที่ที่มีความขรุขระหรือเสี่ยงต่อการถล่มได้ ส่งเข้าไปสำรวจพื้นที่ล่วงหน้าในระยะ 100-200 เมตร ว่าพื้นที่ปลอดภัยหรือไม่ หากทางสะดวกจะส่งสัญญาณกลับไปแจ้งให้เจ้าหน้าที่และ K-9 เข้าไป ช่วยลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้

ทำไมไทย-อาเซียนยังไม่นิยมใช้งานจริงในภารกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัย

ต้องบอกว่าหุ่นยนต์ประเภทนี้ยังมีราคาค่อนข้างสูงอยู่ Spot นั้นค่อนข้างแพงราคาเริ่มต้นที่ 75,000 เหรียญ หรือประมาณ 2.5 ล้านบาทส่วน Unitree Go1 ราคาเริ่มต้นที่ 2,500 เหรียญหรือประมาณ 91,600 บาท ซึ่งฟังก์ชันการใช้งานก็จะน้อยกว่า Spot ดังนั้นเราจึงเห็นหุ่นพวกนี้ใช้ในภาคอุตสาหกรรมมากกว่าแทนการใช้งานกู้ภัย

ส่วนหุ่นยนต์สุนัขของไทยส่วนใหญ่จะเป็น Unitree Go1 ที่มีราคาถูกกว่า ไปอยู่ที่สถาาบันด้านการศึกษา เพื่อให้นักศึกษาเรียนรู้การพัฒนาโปรแกรม ต่อยอดการใช้งานด้านต่าง ๆ มากกว่านำมาใช้ในการกู้ภัย

จริง ๆ แล้วหุ่นยนต์สุนัขกู้ภัยเองก็มีข้อจำกัดหลายอย่าง เมื่อเทียบกับสุนัข K-9 ด้วยขนาดหุ่นที่มีขนาดใหญ่จึงไม่สามารถมุมเข้าไปใต้อาคารได้ ทำได้เพียงสำรวจภายนอกเท่านั้น

ส่วนเซนเซอร์ จับการเคลื่อนไหว กล้องตรวจจับความร้อน พวกนี้ก็มีข้อจำกัด ไม่สามารถใช้งานได้ในบางสถานการณ์ เช่น ไม่สามารถทะลุกำแพงหนา ๆ ได้ อาจจะจำเป็นต้องใช้งานร่วมกับเทคโนโลนีอื่น ๆ เช่น แผนที่สามมิติด้วย LiDAR เพื่อให้เห็นโครงสร้างต่าง ๆ ได้ละเอียดขึ้น

เนื่องจากหุ่นเหล่านี้ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่เป็นหลัก ทำให้ระยะเวลาการใช้งานจำกัด ยิ่งออกงานภาคสนามจุดชาร์จก็ยิ่งหายาก พอแบตหมดก็ต้องรอชาร์จทำให้การค้นหาขาดช่วง ส่วนข้อที่สำคัญที่สุดคือ เรื่องของซอฟต์แวร์ในการนำทาง การค้นหาผู้ประสบภัยต้องอาศัยความเชี่ยวชาญในการระบุเป้าหมาย เนื่องจากไทยไม่ได้เกิดเหตุการแบบนี้บ่อย ๆ อย่างในเคสตึกถล่ม เราจะเห็นว่าสภาพแวดล้อมนั้นค่อนข้างท้าทาย ทำให้การนำทางโดยอัตโนมัติทำได้ค่อนข้างยาก การเคลื่อนผ่านสิ่งกีดขวาง เศษซาก และภูมิประเทศที่ไม่มั่นคง ซึ่งทำให้พวกมันเข้าถึงเหยื่อได้ยากขึ้น

แม้จะควบคุมระยะไกลได้ก็ต้องอาศัยคนที่เชี่ยวชาญด้านการควบคุมมาใช้ในการกู้ภัยอยู่ดี ซึ่งไทยก็ยังมีบุคลากรด้านนี้ไม่มาก ถึงเวลาแล้วที่ภาครัฐต้องหันมาให้ความสำคัญในการนำเทคโนโลยีมาช่วยสนับสนุนในการกู้ภัย เพื่อให้ปฏิบัติงานได้เร็วขึ้นแข่งกับเวลา เพิ่มความปลอดภัยให้เจ้าหน้าที่เวลาปฏิบัติงาน

รวมถึงการสร้างบุคลากรด้านนี้โดยเฉพาะแล้ว เพราะเด็กไทยเก่ง ๆ ก็เยอะ ร่วมแข่งขันหุ่นยนต์กู้ภัยทุกปี หลายสถาบันก็คว้ารางวัลติดไม้ติดมือกลับมา แต่ไม่ได้รับการต่อยอด พัฒนาศักยภาพเหล่านี้มาใช้งานจริง ถ้าทำได้ไทยเราจะมีความพร้อมรับมือภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

Ceemeagain #K9 #K9USARThailand

นักเขียนสาย Introvert ที่ชื่นชอบเรื่องนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ ใช้เวลาว่างกับ มังงะ, เสียงเพลงและ idol

Advertisement

Sidebar Search
Popular Now
Loading

Signing-in 3 seconds...

Signing-up 3 seconds...