กลายเป็นประเด็นร้อนในการ “อภิปรายไม่ไว้วางใจ 2568” ว่าการตั้งคำถามว่านายกอาจใช้ช่องว่งทางกฎหมายเพื่อใช้ในการหลีกเลี่ยงภาษีหรือเปล่า วันนี้ CEEi จะพาไปทำความรู้จักกับ ตั๋ว P/N ว่าจริงแลัวๆเป็นเครื่องมือวางแผนการเงินหรือตัวช่วยเลี่ยงภาษีกันแน่
ตั๋วสัญญาใช้เงิน (Promissory Note) หรือเรียกย่อ ๆ ว่าตั๋ว P/N เป็นหนังสือตราสาร มีลักษณะเป็นสัญญาที่กฎหมายรับรอง โดย ‘ผู้ออกตั๋ว’ (maker) ให้คำมั่นสัญญาว่าจะใช้เงินจำนวนหนึ่ง ให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งหรือใช้ให้ตามคำสั่งของบุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่า ‘ผู้รับเงิน’ (payee) ตั๋วนี้สามารถเปลี่ยนมือได้ ยกเว้นแต่จะระบุข้อห้ามเปลี่ยนมือในตั๋วสัญญาใช้เงิน
ตั๋วสัญญาใช้เงิน มักใช้ในการทำสัญญาที่มีมูลค่าสูง ส่วนใหญ่จะมีระยะเวลาสัญญาไม่เกิน 1 ปี ปัจจุบันมีการใช้งานกันอย่างแพร่หลาย เช่น
ในตั๋วสัญญาใช้เงินที่บังคับใช้ได้ตามกฎหมายจะประกอบด้วย
นอกจากนั้นยังมีตั๋วสัญญาใช้เงินอีกประเภทหนึ่งที่เรียกว่า ‘ตั๋วสัญญาใช้เงินตามความต้องการ’ ซึ่งเป็นประเด็นอยู่ในตอนนี้ ซึ่งตั๋วประเภทนี้ จะไม่มีกำหนดวันสิ้นสุดการชำระเงินเอาไว้ในสัญญา ขึ้นอยู่กับผู้ออกกู้ ว่าจะเรียกเก็บเอาเงินเมื่อไหร่ ปกติทางเจ้าหนี้ จะทำการแจ้งให้ลูกหนี้ให้ทราบล่วงหน้าเป็นเวลา 3-4 วัน เพื่อให้นำเงินมาชำระคืน
ในกรณีของการ ‘อภิปรายไม่ไว้วางใจ 2568’ ที่เป็นประเด็นเพราะว่ามีการใช้ ‘ตั๋วสัญญาใช้เงินตามความต้องการ’ แทนการจ่ายเงินสดเพื่อรับโอนหุ้น 19 บริษัทจากสมาชิกในครอบครัวตั้งแต่ปี 2559 โดยไม่มีการกำหนดการใช้เงิน ทำให้หลายคนเกิดข้อสงสัยว่ามีการใช้ช่องโหว่ทางกฎหมาย เพื่อหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีการรับโอนหุ้นจากครอบครัวนอกตลาดที่มีมูลค่ารวม 218 ล้านบาทหรือไม่
ทาง ผศ.ดร.ยุทธนา ศรีสวัสดิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี อธิบายว่า กรณีนี้เป็นการ ‘วางแผนภาษีแบบดุดัน’ (Aggressive Tax Planning) ผ่านการใช้เทคนิคชื่อว่า ‘Tax Deferral’ เพื่อชะลอการเสียภาษีออกไป หากมีการเรียกเก็บเงิน ทางเจ้าหนี้ต้องลงบัญชีรับรู้รายได้ และนำไปคำนวณเสียภาษีประจำปี ซึ่งเป็นวิธีที่ถูกกฎหมาย และใช้กันแพร่หลายในวงการธุรกิจ
แต่สิ่งที่หลายคนแคลงใจก็คือ นิติกรรมนี้ อาจจะเป็นนิติกรรมอำพรางการให้หรือไม่ เนื่องจากเป็นการโอนหุ้นระหว่างคนในครอบครัว ตามปกติแล้วจะต้องเสียภาษีมรดก เมื่อคนขายไม่มีเจตนาในการขายหุ้นอยู่แล้ว จึงออกเป็นตั๋วสัญญาใช้เงิน P/N แทน หากไม่มีการเรียกเก็บ ลูกหนี้ก็ไม่ต้องจ่ายเงิน เจ้าหนี้ก็ไม่มีรายได้ รัฐก็ไม่ได้ภาษี
อีกประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ปกติแล้วตั๋วสัญญาใช้เงิน จะเน้นการกู้ยืมระยะสั้น แต่เคสนี้มีการออกตั๋วมาตั้งแต่ปี 2559 ซึ่งปกติเจ้าหนี้จะไม่ปล่อยให้ระยะยาวขนาดนั้น เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อโตขึ้นทุกปี ทำให้ดอกเบี้ยที่เจ้าหนี้จะมีมูลค่าลดลงทุกปี
ดังนั้นเราต้องรอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาให้คำตอบอีกที ว่าสุดท้ายแล้วจะลงเอยอย่างไร ทาง CEEi เชื่อว่าในอนาคต น่าจะมีการแก้ไขกฎหมายอุดช่องว่างตรงนี้อย่างแน่นอน
ที่มา old-book.ru.ac.th , Yutthana Srisavat