เมื่อวานนี้หน่วยงานของสหรัฐอเมริกาได้ประกาศยกเว้นขึ้นขึ้นภาษีกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อย่างสมาร์ตโฟน รวมถึงชิ้นส่วนอย่างชิป ทำให้ภาพรวมตลาดดูผ่อนคลายลงไปบ้าง แต่ล่าสุดมีการประกาศใหม่อีกครับ
โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประกาศละเว้นการขึ้นภาษีศุลกากรเป็นระยะเวลา 90 วัน นับตั้งแต่วันที่ 9 เมษายนที่ผ่านมายกเว้นประเทศจีนที่ยังคงภาษีศุลกากร 125% ส่วนประเทศอื่น ๆ เป็น 10% ขั้นต่ำ หลังจากนั้น เมื่อวานก็มีข่าวดีว่าทรัมป์จะละเว้นภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้ลดความตึงเครียดในเศรษฐกิจทั่วโลก แต่แล้วก็มีประกาศที่พลิกสถานการณ์อีกครั้ง
ฮาเวิร์ด ลุตนิก (Howard Lutnick) รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์กล่าวในรายการ “This Week” ของ ABC ในวันนี้ว่าการผ่อนปรนภาษีศุลกากรจะทำเพียงชั่วคราวเท่านั้น ลุตนิกระบุว่าชิ้นส่วนที่จำเป็นสำหรับสมาร์ตโฟนอย่างจอ ชิป และชิ้นส่วนอื่น ๆ จะต้องผลิตในสหรัฐอเมริกาได้ สหรัฐอเมริกาไม่สามารถพึ่งพาเอเชียได้ตลอดไป โดยภาษีในหมวดนี้จะมีประกาศใหม่ในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า
โดยทรัมป์ก็ได้โพสต์ข้อความใน Truth Social ของตัวเอง โดยสรุปคือ ทรัมป์ยืนยันว่าไม่มีการยกเว้นภาษีใดๆ สำหรับจีนหรือประเทศอื่นที่เอาเปรียบสหรัฐฯ ในการค้า สินค้าที่เกี่ยวข้องยังคงถูกเก็บภาษีเฟนทานิล 20% เหมือนเดิม เพียงแค่ย้ายไปอยู่ในหมวดหมู่ภาษีอื่น สหรัฐฯ จะพิจารณาเรื่องเซมิคอนดักเตอร์และห่วงโซ่อุปทานอิเล็กทรอนิกส์เพื่อความมั่นคงของประเทศ และจะไม่ยอมให้จีนเอาเปรียบทางการค้าอีกต่อไป ทรัมป์เชื่อว่านโยบายนี้จะช่วยสร้างงาน เพิ่มการผลิตในประเทศ และทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง
Fentanyl Tariffs คือภาษีศุลกากรพิเศษที่สหรัฐอเมริกาเรียกเก็บจากสินค้านำเข้าจากประเทศที่เกี่ยวข้องกับการลักลอบนำเข้าเฟนทานิล (Fentanyl) เข้าสู่สหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าจากประเทศจีน
เฟนทานิลเป็นยาแก้ปวดสังเคราะห์ที่มีความแรงมากกว่ามอร์ฟีนหลายร้อยเท่า และมีการลักลอบนำเข้าอย่างผิดกฎหมาย ก่อให้เกิดวิกฤตการณ์การเสพติดและเสียชีวิตจากการใช้ยาเกินขนาดในสหรัฐอเมริกา ในสมัยประธานาธิบดี Trump ทั้งสมัยแรกและปัจจุบัน รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ใช้มาตรการภาษีเป็นเครื่องมือกดดันจีนและประเทศอื่นๆ เพื่อควบคุมการผลิตและการส่งออกสารเคมีที่ใช้ในการผลิตเฟนทานิล โดยภาษีเฟนทานิลนี้จะเรียกเก็บในอัตรา 20% กับสินค้านำเข้าจากประเทศที่รัฐบาลสหรัฐฯ พิจารณาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาการแพร่ระบาดของเฟนทานิลในสหรัฐอเมริกา
อย่างไรก็ตามก็มีการมองว่ามาตรการนี้อาจเป็นแค่มาตรการเชิงสัญญะและไม่ได้ช่วยแก้ปัญหายาเสพติดที่ปลายทาง ผู้ที่ได้รับผลกระทบอาจเป็นภาคธุรกิจหรืออุตสาหกรรมที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดโดยตรง
นอกจากสินค้าอิเล็กทรอนิกส์แล้ว สินค้ากลุ่มอื่น เช่น ยารักษาโรคก็จะมีการปรับกลยุทธ์ด้านภาษีด้วยเช่นเดียวกัน แม้จะมีการวิเคราะห์จากนักเศรษฐศาสตร์ว่าแผนดังกล่าวอาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอยก็เป็นได้
ที่มา PhoneArena