รีวิว Nothing Phone (3a) : หมื่นสองที่คุ้มที่สุด แต่ยังคุ้มได้อีก !

จนถึงนาทีนี้ สมาร์ตโฟนแบรนด์ ‘Nothing’ อาจจะคุ้นหูใครหลาย ๆ คนแล้วแน่ ๆ แต่สำหรับใครที่ยังนึกไม่ออก Nothing Phone (a) Series คือสมาร์ตโฟนซีรีส์ที่ขายความคุ้มขั้นสุด แล้วรุ่นที่แล้วมีคนทักเรื่องกล้องถ่ายภาพซูมกันเยอะ รุ่นนี้ก็เลยก็เอากลับไปทำการบ้าน ปรับแก้เพิ่มกล้องถ่ายภาพซูมเป็นครั้งแรกเลย แล้วนอกจากจะซูมดีขึ้นแล้ว Nothing Phone (3a) เครื่องนี้จะมีอะไรน่าสนใจอีกบ้าง แล้วต้องแลกอะไรไปบ้างเพื่อให้ยังคงราคาเปิดตัวเริ่มต้นที่ 12,499 บาทอยู่ มาดูกัน

ไลน์อัปของ Nothing ในตอนนี้

ตอนนี้ สมาร์ตโฟน Nothing ได้มีการแบ่งไลน์อัปออกมาค่อนข้างชัดแล้ว คือมีรุ่นเรือธง เป็น Nothing Phone (Number) แล้วก็จะมีรุ่นที่ประหยัดกว่า คือ Nothing Phone (Number แล้วต่อท้ายด้วย a) แต่รุ่น a มีการซ้อนรุ่นอัปเกรดเข้ามาเพิ่มบ้าง อย่าง Nothing Phone (2a) Plus ที่เป็นร่างอัปเกรดเล็กน้อยจาก Nothing Phone (2a) หรืออย่างตอนนี้ ก็จะมี Nothing Phone (3a) ที่มีรุ่น (3a) Pro ออกมาพร้อมกันด้วย ในขณะที่ Nothing ก็มีแบรนด์ลูกของตัวเองอย่าง ‘CMF by Nothing’ ที่จะมีสมาร์ตโฟนที่เน้นความประหยัดขั้นสุด อย่างที่ออกมาก่อน ก็จะมี ‘CMF Phone 1’ และ CMF Phone 2 Pro ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นานนี้

ทีนี้ ไลน์อัปสมาร์ตโฟนของ Nothing ของปีนี้ เรียกได้ว่ามีการวางตำแหน่งเอาไว้ในหลากหลายราคามาก ๆ แต่ก็ไม่ได้ทับซ้อนกันทีเดียว ถ้าให้ไล่ให้ดู ก็จะแบ่งออกเป็นตามนี้เลย :

  • CMF Phone 2 Pro – รุ่นประหยัดมากที่สุด ที่ราคาเริ่มต้น 8,999 บาทเท่านั้น
  • Nothing Phone (3a) – รุ่นประหยัดที่คุ้มราคามากที่สุด ที่ราคาเริ่มต้น 12,499 บาท (รุ่นที่เรารีวิวอยู่นี้)
  • Nothing Phone (3a) Pro – รุ่นประหยัดที่ให้กล้องที่ดีกว่าเดิม ที่ราคา 17,499 บาท
  • Nothing Phone (3) – สมาร์ตโฟนเรือธง ใส่สุดทุกทางที่ Nothing จะทำได้ ที่ยังไม่เปิดตัว

แปลว่า Nothing วางตลาดสมาร์ตโฟนไว้ในระดับที่ใคร ๆ ก็เข้าถึงได้ ไม่ว่าจะในเรตราคาไหนก็ตาม แต่ที่น่าสนใจคือ ถ้าเราลองอ่านสเปกกระดาษแล้ว จะเห็นการที่ Nothing เลือกใส่ ‘ความคุ้มค่า’ เข้ามาใน 3 ใน 4 รุ่นที่เปิดตัวมาแล้วของปีนี้ไม่น้อยเลย ไม่ว่าจะเรื่องกล้องหรือเรื่องชิปก็ตาม เดี๋ยวมาลองดูกันว่า Nothing Phone (3a) ให้ความคุ้มมาขนาดไหนบ้าง

ดีไซน์ที่เป็นตัวเองเหมือนเคย

ก่อนอื่น ว่าด้วยเรื่องดีไซน์จอง Nothing Phone (3a) แล้ว เป็นดีไซน์ที่ดูรู้เลยว่าต่อยอดมาจาก Nothing Phone (2a) แน่นอน ทั้งด้านการออกแบบกรอบกล้อง ดีไซน์ตัวเครื่องในภาพรวม เช่นการทำขอบเหลี่ยม ไปจนถึงการดีไซน์ฝาหลังที่คล้ายกับ Nothing Phone (2a) ไม่น้อย ในระดับที่ว่าถ้าวางคู่กัน คือรู้เลยว่าเป็นรุ่นที่อัปเกรดต่อจากกันมา​ (แบบที่ไม่มีลายที่เหมือนกับที่คนเขาล้อกันแล้วด้วย)

ในบ้านเราจะมีสีให้เลือกแค่สีขาว ดำ แล้วก็ฟ้า แต่สีฟ้าจะเป็นสีที่ขายแบบจำนวนจำกัดนะ เพราะงั้นหลัก ๆ ก็จะมีเป็นสีดำและสีขาวนี่แหละ ที่วางขายกันอยู่ในตอนนี้ ซึ่งส่วนตัวยังรู้สึกชอบในสีขาวเหมือนเดิม รู้สึกว่าเป็นสีที่ทำให้เราเห็นความเป็นลวดลายแบบที่ Nothing ทำมาตลอดได้เต็ม ๆ แบบที่ไม่ได้รู้สึกว่าต้องเพ่งอะไรมากนัก แถมลวดลายก็เป็นเอกลักษณ์ของ Nothing ในระดับที่ว่า ใครเห็นก็รู้ว่านี่แหละ คือมือถือของ Nothing แล้วว่าด้วยเรื่องความเป็น Nothing คือสมาร์ตโฟนของ Nothing ทุกรุ่นจะให้มอเตอร์สั่นตามแกนให้รู้สึกว่าการพิมพ์ ปลดล็อก กดปุ่มต่าง ๆ มีสัมผัสที่ตอบสนองเราดีด้วยนะ Nothing Phone (3a) เครื่องนี้ก็เหมือนกัน

อีกอย่างที่แม้จะเป็นรุ่นประหยัดก็ยังให้มา ก็คือไฟ Glyph Interface ที่รุ่นนี้ได้ให้มาเป็นไฟ 3 เส้น 3 โซนด้วยกัน ซึ่งเป็นจำนวนที่เท่ากับ Nothing Phone (2a) แปลว่าการเล่นไฟของ Glyph Interface ในรุ่นนี้ น่าจะไม่แตกต่างกับใน Nothing Phone (2a) มากนัก คือสามารถใช้กะพริบตอนมีสายเรียกเข้า, แจ้งเตือนเข้ามา, ตั้งเวลา หรือจะให้กะพริบตามเพลงก็ได้ด้วย

ดีไซน์ส่วนอื่น ๆ ก็ตามมาตรฐานสมาร์ตโฟนทั่วไปเลย เป็นสมาร์ตโฟนขอบเหลี่ยมที่วางปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงไว้ด้านซ้าย และมีปุ่มล็อก กับปุ่มใหม่ ด้านขวา เดี๋ยวปุ่มนี้เรากลับมาคุยกันอีกครั้งช่วงท้าย ๆ บทความนะ แล้วก็ ด้านล่างของเครื่องยังมีพอร์ต USB-C, ช่องใส่ซิม ที่ใส่ได้ 2 ซิม และเพิ่ม Micro SD Card ไม่ได้ และลำโพงด้านล่างอยู่

ทีนี้ข้อสังเกตแรกก็โผล่มาเลย คือแม้ฝาหลังและหน้าจอจะใช้วัสดุเป็นกระจก แต่ตัวเครื่องใช้วัสดุเป็นพลาสติกนะ หลาย ๆ คนที่ซีเรียสเรื่องนี้อาจจะรู้สึกแปลก ๆ อยู่บ้าง แต่ Nothing ก็เลือกที่จะแก้เรื่องนี้ด้วยการขัดกรอบของตัวเครื่องให้เป็นแบบด้าน เพื่อให้อย่างน้อยก็สามารถจับถือตัวเครื่องได้แบบไม่รู้สึกถึงความลื่นอะไรมากนัก

หน้าจอ

ส่วนเรื่องหน้าจอ Nothing ได้ให้หน้าจอมาที่ขนาด 6.77 นิ้ว พาแนล AMOLED ที่ให้สเปกภายในมาจัดเต็มมาก ๆ ทั้งรีเฟรชเรต 120Hz, รองรับ HDR10+, ความสว่างสูงสุด 3,000 nits แถมยังรองรับการหรี่แสงจอแบบ PWM Dimming ที่ 2160 Hz อีกด้วย คือเป็นหน้าจอที่ให้สเปกมาเกินค่าตัวมาก ๆ แต่อาจจะติดเล็กน้อยที่การแสดงผลสี ยังรู้สึกว่ามีความไม่ตรง ออกไปทางสดเกินอยู่บ้างเล็กน้อย ถ้าไม่ตั้งใจเพ่งจริง ๆ ก็จะไม่รู้ แต่สำหรับคนทั่ว ๆ ไป หน้าจอระดับนี้สามารถใช้งานได้แบบสบาย ๆ เลย จะเล่นโซเชียล ดูหนัง เล่นเกม ก็ทำได้หมดเลย

นอกจากนั้น Nothing ยังคงให้หน้าจอที่มีความเท่ากันทั้ง 4 มุม ไม่มีคางที่หนากว่าส่วนอื่นของเครื่องเลย มีข้อดีที่เวลาเรามองหน้าจอ ก็จะไม่รู้สึกรำคาญตาใด ๆ ทั้งสิ้น ด้วยขอบจอที่เท่ากันทั้งหมดนั่นเอง แถมยังมีเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้จอแบบแสงให้ใช้ด้วย แต่ถามว่าสแกนเร็วไหม อาจจะยังอยู่ในระดับธรรมดา ไม่ได้ไวจี๋ แต่ก็เร็วพอที่จะไม่รู้สึกแปลก ๆ แน่นอน

กล้องถ่ายภาพ

กลับมาที่เรื่องที่ Nothing ตั้งใจเพิ่มมาเป็นครั้งแรก นั่นคือ กล้องถ่ายภาพ ที่คราวนี้ Nothing ได้ทำตามคำขอ และได้เพิ่มกล้องถ่ายภาพซูมเข้ามาใน Nothing Phone (3a) Series แล้วด้วย ชุดกล้องของ Nothing Phone (3a) เครื่องนี้ประกอบไปด้วย

  • กล้องถ่ายภาพหลัก ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล f/1.88 (เซนเซอร์ Samsung ISOCELL GN9)
  • กล้องถ่ายภาพซูม ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล f/2.0 (เซนเซอร์ Samsung ISOCELL JN5)
  • กล้องถ่ายภาพมุมกว้างมาก ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล f/2.2 (เซนเซอร์ Sony IMX355)
  • กล้องหน้า ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล f/2.2 (เซนเซอร์ Samsung ISOCELL KD1)

ซึ่งให้เทียบกันแล้ว คือ Nothing นั้นทั้งเพิ่ม ทั้งลด กล้องถ่ายภาพของตัวเองทั้งหมดเลย คือถ้าเทียบกับ Phone (2a) แล้วนั้น Phone (3a) จะให้เซนเซอร์กล้องหลักตัวเดิม เพิ่มกล้องถ่ายภาพซูม และลดกล้องถ่ายภาพมุมกว้างมากลงเหลือแค่ 8 ล้านพิกเซล กับเปลี่ยนเซนเซอร์กล้องหน้าออกมาเป็นอีกตัวแทน ในด้านความคุ้ม ถามว่าลดลงไหม ไม่เลย เพราะว่าในเรตราคานี้ สมาร์ตโฟนที่มีกล้องถ่ายภาพซูมในระดับราคานี้ไม่ได้หากันง่าย ๆ นะ

ก่อนจะมาลองวิเคราะห์ภาพถ่ายกัน ลองดูตัวอย่างภาพที่ถ่ายมาจาก Nothing Phone (3a) เครื่องนี้กันก่อน

เอาจริง ๆ ภาพที่ถ่ายโดย Nothing Phone (3a) นั้น ถามว่าทำได้ดีไหม ถือว่าดีสำหรับเรตราคานี้ แต่ว่าอาจจะมีปัญหาเรื่องความสดของภาพที่อาจจะสดมากอยู่บ้าง โดยเฉพาะเมื่อมีการเปิด Auto Tone ภาพก็จะติดความ Saturation มากอยู่บ้าง ถ้าชอบภาพที่มีความสมจริงมากขึ้น อาจจะลองปิด Auto Tone ดู

นอกจากเรื่องของโทนแล้ว ฟีเจอร์หนึ่งที่น่าสนใจมาก ๆ คือเรื่องของการครอบฟิลเตอร์อันเป็นมากกว่าฟิลเตอร์ ที่ตอนนี้ Nothing เรียกว่า ‘Presets’ ที่เราสามารถตั้งทุก ๆ อย่างของแอปฯกล้อง ตั้งแต่โหมด อัตราส่วน ตั้งเวลา จนกระทั่งเลือกฟิลเตอร์สีที่ครอบทับ รวมกันเป็น Presets เดียวเลย ซึ่งจะเป็นการตั้งค่าที่เหมาะสมที่สุดกับการถ่ายภาพในสถานการณ์นั้น ๆ

แล้วที่เจ๋งที่สุดก็คือ Nothing เปิดให้ฟีเจอร์ Presets เป็นเหมือนระบบเปิด ที่เราสามารถ ‘แชร์’ Presets เหล่านี้ให้กับเพื่อน ๆ ที่ใช้สมาร์ตโฟน Nothing อยู่ แปลว่าเราสามารถสร้าง Presets เป็นของตัวเองแล้วเอามาปล่อยให้คนอื่นมาตั้งตามเราได้เลย แถมยังจัดเป็นภาพสวย ๆ เอาไว้แชร์ให้เพื่อน ๆ ได้เลยด้วย ลองส่องกลุ่ม ‘Nothing Phone Community TH‘ ที่มีคนจำนวนมาก ทำ Presets มาให้เซฟไปใช้กันเยอะมาก อย่างเช่น Preset ‘Amelie’ ของผู้ใช้ชื่อ ‘Padung Roen’ ที่ได้ทำสีย้อมภาพให้เหมือนกับมาจากภาพยนต์ฝรั่งเศสคลาสสิก ‘Amelie’ มาให้ใช้กันด้วย

ด้วยความที่ในที่สุด Nothing ก็ได้ใส่กล้องถ่ายภาพซูมมาสักที ทำให้ตอนนี้ กล้องถ่ายภาพซูมของ Nothing Phone (3a) สามารถซูมด้วยระยะเลนส์ได้ 2 เท่า และยังซูมเข้าไปได้ลึกสุด ๆ ที่ 30 เท่าด้วย ซึ่งจากที่ได้ลองใช้งานมาจากการซูมหลาย ๆ ระยะ ก็เจอว่าระยะที่ซูมแล้วได้ภาพที่คุณภาพดีพอจะใช้งานได้ทุกวัน จะอยู่ที่ไม่เกิน 10 เท่านะ ด้วยว่า Nothing Phone (3a) ใช้กล้องถ่ายภาพซูมที่เป็นเลนส์ Floating Telephoto คือการเอาเลนส์มาซ้อนกันเพื่อให้เกิดระยะซูม แต่ไม่ได้ใช้เป็น Peridcope Telephoto ที่ใช้การสะท้อนภาพผ่านเลนส์ มาเรียงแบบแนวตั้งที่ทำให้ซูมได้ลึกกว่าแบบใน Nothing Phone (3a) Pro เลยทำให้รุ่นน้องจะมีกล้องถ่ายภาพซูมที่เน้นถ่ายภาพบุคคล หรือซูมในระยะที่ไม่ลึกนักมากกว่า

ซึ่งในด้านการถ่ายภาพบุคคล ถามว่าถ่ายได้ดีไหม ต้องนิยามมาก่อนว่าถ่ายได้ดีคืออะไร เพราะว่า Nothing Phone (3a) ไม่ได้ถ่ายภาพซูมได้ติดบิวตี้สูงมากนัก จะเน้นถ่ายภาพออกมาได้ดูสมจริง และเก็บรายละเอียดของภาพได้ดีมากกว่าเรื่องความสวยงาม เรียกว่าถ้าเราติดภาพจำสมาร์ตโฟนที่ถ่ายภาพคนได้สวย ออกมาดูสดใส รุ่นนี้อาจจะยังไม่ได้เหมาะขนาดนั้นก็ได้ แต่ในอีกมุมหนึ่ง สไตล์ของภาพถ่ายก็เหมาะกับการเอาภาพไปแต่งต่อไม่น้อย

และเรื่องของกล้องหน้า ที่ให้ความละเอียดมา 32 ล้านพิกเซล เอาจริง ๆ ก็ยังไม่ได้เป็นกล้องที่เก่งมากนัก ด้วยว่าเป็นกล้องหน้าที่ไม่มี Autofocus ให้ได้ใช้งานกัน แต่ยังอยู่ในระดับที่สามารถเอามาใช้งานทั่ว ๆ ไปได้อยู่นะ

เรียกว่าโดยรวม ๆ แล้ว Nothing Phone (3a) ให้กล้องถ่ายภาพที่สามารถถ่ายได้หลากหลายระยะมากขึ้นไม่น้อย ไม่อึดอัด และไม่ต้องกลัวว่าจะซูมเข้าไปแล้วได้ภาพออกมาไม่ดี แค่อาจจะยังซูมเข้าไปลึกมาก ๆ ไม่ได้เท่านั้น แต่ด้วยเรตราคาระดับนี้ ถือว่าให้กล้งอมาได้ครบระยะมากแล้วจริง ๆ เพราะสมาร์ตโฟนในเรตราคาเท่ากัน มักจะไม่มีกล้องถ่ายภาพซูมมาให้นั่นเอง

สเปกภายในเครื่อง

ปีที่แล้ว Nothing เพิ่งตัดสินใจ ออกจากวงการ Snapdragon ไปใช้ MediaTek Dimensity 7200 Pro ไปใน Nothing Phone (2a) (และ Dimensity 7350 Pro ในรุ่น (2a) Plus) ไปเอง แต่ปีนี้ Nothing เลือกที่จะกลับมายังวงการ Snapdragon และให้ทั้งรุ่น Phone (3a) และ (3a) Pro ใช้ชิปเซต Qualcomm Snapdragon 7s Gen 3 ซึ่งเป็นชิปเซตที่เรามักจะได้เห็นกันในสมาร์ตโฟนเรตราคาหมื่นกลางนั่นเอง

ชิปเซตนี้ถามว่าดีไหม จริง ๆ แล้วอาจจะไม่ได้ดีเหมือนกับใน Snapdragon 7 Gen 3 ที่เป็นเหมือนตัวบักแห่งสมาร์ตโฟนราคาหมื่นกลางเลยก็ว่าได้ ที่กลายเป็นชิปเซตของสมาร์ตโฟนเรตราคาหมื่นกลางแบบข้ามปีกันเลยทีเดียว แต่ Snapdragon 7s Gen 3 เอง ก็เป็นชิปเซตที่เหมาะกับการใช้งานทั่วไปมาก ๆ เหมือนกัน อย่างน้อยก็แรงกว่า 7s Gen 2 อยู่ประมาณ​ 15% เลย ในขณะที่ยังมีประสิทธิภาพด้านการประหยัดพลังงานอยู่ด้วย โดยตัวเครื่องให้แรมมาที่ขนาด 8GB พร้อมหน่วยความจำ 128GB หรือแรมขนาด 12GB กับหน่วยความจำ 256GB แถมตัวเครื่องยังให้ WiFi 6, Bluetooth 5.4 มาด้วยนะ เทคโนโลยีใหม่ ๆ ทั้งนั้น

ด้วยประสิทธิภาพของตัวเครื่องจากการ Benchmark มา อาจจะยังไม่ใช่สมาร์ตโฟนที่มีสเปกหวือหวามากนัก โดยเฉพาะเรื่องประสิทธิภาพด้านกราฟิก แต่ก็ยังเป็นสเปกที่สามารถใช้เป็นสมาร์ตโฟนสำหรับทุก ๆ วัน เป็นสมาร์ตโฟนเครื่องหลัก ใช้งานทั่วไป ออกไปถ่ายรูป ทำงานต่าง ๆ ได้ดีด้วย ใช้งานได้ลื่นไหลมาก ๆ ส่วนหนึ่งมาจาก Nothing OS 3 ซอฟต์แวร์สกินของ Nothing เอง ที่เน้นความเรียบง่าย สวยงาม แถมไม่มีโฆษณาในระบบด้วย เลยทำให้ใช้งานได้ลื่นสุด ๆ

ส่วนเรื่องการเล่นเกม เราลองแบบไว ๆ ด้วย Genshin Impact ถ้าเราปรับการตั้งค่าที่สูง และ 60FPS จะเล่นได้อยู่ที่ประมาณ 40FPS เท่านั้น แต่ถ้าเล่นเกมที่เบากว่าเช่น RoV ก็จะปรับสุดที่ 60FPS ได้แบบชิว ๆ นะ

AI แบบ Nothing

ทุกคนจำ ‘ปุ่มใหม่’ ด้านขวาของเครื่องที่เคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ได้ไหม ? เราได้เคยคุยกับทาง Nothing มา และทางแบรนด์บอกว่า การที่ Nothing จะเลือกนำเอาฟีเจอร์ AI สักอย่างมาใส่ในสมาร์ตโฟนของ Nothing เองได้นั้น ควรจะต้องเป็นฟีเจอร์ AI ที่ ‘ได้ใช้’ จริง ๆ มากกว่าที่จะเป็นฟีเจอร์ AI ที่เอาไว้โชว์เฉย ๆ

Nothing เลยได้เปิดตัวปุ่มใหม่มาติดกับเครื่องอย่างปุ่ม ‘Essential Key’ ที่มีความสามารถ AI ฝังเอาไว้แล้ว คือโดยพื้นฐานที่สุด Essential Key จะทำหน้าที่ ‘Screenshot’ หน้าจอของเรา แล้วจะเซฟเข้าไปไว้ในพื้นที่ ‘Essential Space‘ ในเครื่องเราเอาไว้ พื้นที่นี้แหละ คือพื้นที่ที่ AI จะได้เฉิดฉายอย่างเต็มที่ โดย AI จะอ่านภาพที่เราแคปฯ เอาไว้ แล้วสรุปว่าภาพนั้นคือภาพอะไร และดึงรายละเอียดที่สำคัญจากในภาพมา อย่างเช่น ถ้าในภาพที่แคปฯ เอาไว้ เป็นภาพโปรโมตคอนเสิร์ท ก็จะดึงรายละเอียดของคอนเสิร์ทออกมา บอกรายละเอียดของอีเวนต์ รวมถึงทำ Task วันที่จัดงานคอนเสิร์ทเอาไว้ในหน้าเดียวด้วย โดยที่เราไม่ต้องสร้างเองเลย หรือถ้าภาพที่เราแคปฯมา มีข้อมูลเป็นตัวหนังสือเยอะ ๆ AI ก็จะสรุปข้อมูลมาให้เราอ่านด้วยเหมือนกัน แถมแบ่งเป็นหัวข้อเอาไว้หมดแล้วด้วย แถมเรายังสามารถพิมพ์ข้อมูลให้มันเพิ่มได้ด้วยว่าที่เราแคปฯมานั้นคืออะไร เพื่อที่จะได้เก็บไว้เป็นข้อมูล และนำมาประกอบการสรุปให้เราได้ด้วยนะ

อีกกรณีที่ได้ใช้งานจริง คือตอนที่กำลังจะไปร่วมงาน CMF Phone 2 Pro Launch Event ที่ประเทศอินเดีย ทางสถานฑูต จะมีการส่งข้อมูลการสมัครวีซ่าเข้าประเทศของเรา และเมื่อเราใช้ Essential Key ในการเก็บภาพของอีเมลนั้นเอาไว้ AI ก็ดึงออกมาทั้งเลขที่ผู้สมัคร, เลขพาสปอร์ต, เวลาในการประมวลผลการสมัคร Visa ของเรา และทำ Task แนะนำด้วยว่าเราควรมาตรวจสอบผลการสมัครนี้ของเราเมื่อไหร่ เรียกว่าฟีเจอร์นี้สะดวกมากจริง ๆ ขอแค่เราใช้งานมันเป็น

นอกจากนั้น ถ้าเกิดว่าเราพิมพ์กำหนดรายละเอียดให้ภาพที่แคปฯมาไม่ทัน เรายังสามารถกดค้างปุ่ม Essential Key เพื่อให้ทั้งแคปภาพหน้าจอ และอัดเสียงเพื่อให้เราบอกสิ่งที่เราแคปฯ ภาพนั้นเอาไว้มาประกอบได้ด้วย ซึ่งถ้าเราใช้ภาษาอังกฤษ หรือภาษาอื่น ๆ ก็จะสามารถถอดความออกมาประกอบได้ด้วยนะ น่าเสียดายที่แม้จะถอดภาษาไทยได้ (ต้องเข้าไปตั้งค่าที่ Language Detection ก่อนด้วยนะ) แต่ก็ยังไม่สามารถถอดภาษาไทยได้แบบ 100% นัก ต้องรอดูในอนาคตว่า Nothing จะทำให้ความสามารถในการถอดภาษาไทยดีขึ้นหรือเปล่า

แต่ในเรื่องของ AI ด้านอื่น ๆ เรียกว่าอาจจะยังตามหลังคนอื่นค่อนข้างเยอะ เพราะไม่มีทั้ง AI ด้านการแต่งภาพ, แปลภาษา, ถอดข้อความเสียง (ยกเว้นใน Essential Space) หรือกระทั่งการจัดหน้าโน้ตในแอปฯ ก็ยังไม่มี ซึ่งฟีเจอร์พวกนี้เริ่มจะโผล่มาในสมาร์ตโฟนรุ่นราคาประหยัดของแบรนด์ต่าง ๆ เช่น OPPO, vivo, Samsung บ้างแล้ว แถมในอนาคต หาก Nothing จะเข้าไปแข่งในตลาดสมาร์ตโฟนเรือธงใน Nothing Phone (3) ในช่วงปลายปี เรื่อง AI ทาง Nothing อาจจะต้องงัดไม้เด็ดเข้ามาแข่งมากกว่านี้อีกหน่อยจะน่าสนใจขึ้นอีกเยอะเลย

แบตเตอรี่

เรื่องแบตเตอรี่ Nothing Phone (3a) มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 5,000 mAh ซึ่งถามว่าสูงไหม ก็เป็นขนาดมาตรฐาน แต่ว่า ในนาทีนี้ มาตรฐานของสมาร์ตโฟนเริ่มหันไปใช้เทคโนโลยีใหม่อย่าง ‘Silicon-Carbon’ ที่มีประจุแบตเตอรี่ที่หนาแน่นขึ้น ซึ่งแม้กระทั่งสมาร์ตโฟนราคาระดับเดียวกันกับ Nothing ก็เริ่มที่จะเอาแบตเตอรี่ Silicon-Carbon นี้มาใช้ในสมาร์ตโฟนระดับนั้นแล้วด้วย อย่างเช่น vivo V50 Lite ที่ให้แบตเตอรี่มาถึง 6,500 mAh ในขนาดที่ยังบางอยู่ ซึ่งสำหรับสมาร์ตโฟนแล้ว การที่ตัวเครื่องมีแบตเตอรี่ที่เยอะขึ้น ก็จะแปลงไปสู่การใข้งานที่นานขึ้นไปด้วยเลย ซึ่งที่ใช้งานมา Nothing Phone (3a) ก็ใช้งานได้ตามมาตรฐานเดิม ก็คือถ้าใช้งานทั่ว ๆ ไป ก็ยังพอจบวันได้ อาจจะมีความร้อนอยู่บ้างเล็กน้อยจากการใช้งาน แต่ถ้าเทียบกับเจ้าอื่น ๆ แล้ว อาจจะใช้งานได้นานกว่า

แต่ยังดีที่ได้ให้ระบบชาร์จไวมาที่ 50W ที่สามารถใช้หัวชาร์จ PD หรือ PPS ชาร์จได้ลเย แปลว่าเราสามารถหาหัวชาร์จที่ผ่านมาตรฐาน มาใช้ชาร์จ Nothing Phone (3a) เครื่องนี้ได้แบบสบาย ๆ เลย แต่น่าเสียดายที่ Nothing ไม่ได้ให้อแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่มา แต่ก็ยังหาหัวชาร์จมาใช้ได้ง่ายอยู่นะ

แต่โดยภาพรวมแล้ว Nothing อาจจะต้องเร่งฝีเท้าอีกพอสมควรในด้านเทคโนโลยีแบตเตอรี่ ที่คู่แข่งเริ่มนำเอาเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ในสมาร์ตโฟนราคาประหยัดของตัวเองมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับซอฟต์แวร์ของ Nothing ที่มีความเบา มีแอปฯแถมน้อย ทำให้ใช้แบตเตอรี่น้อยไปด้วยแล้วนั้น ถ้าได้ใช้แบตเตอรี่ที่ความจุสูงมาก ๆ จะยิ่งช่วยให้ทำงานได้ดีขึ้น และยาวนานขึ้นอีกเยอะแน่นอน

Nothing Phone (3a) เหมาะกับใคร

กลับมาที่คำถามคลาสสิคว่า แล้ว Nothing Phone (3a) เหมาะกับใครกัน ? คือรุ่นนี้จะมีกลุ่มคนใช้ที่คล้ายกันกับ Nothing Phone (2a) มาก ๆ ทั้งในด้านดีไซน์ งานประกอบ ฟีเจอร์ ไปจนถึง ‘ตำแหน่งทางการตลาด’ ด้วย คือรุ่นนี้จะเหมาะกับคนที่ชอบสมาร์ตโฟนสายคุ้ม ใช้ 5G ได้ ใช้งานทั่วไปได้สบาย ๆ ชิว ๆ ซึ่งแม้จะระดับราคาประมาณเดิมกับในรุ่นที่แล้ว แต่ความคุ้มเพิ่มขึ้นไม่น้อยเลย แปลว่า Nothing Phone (3a) มีความคุ้มมากกว่ารุ่น (2a) อีกนะ

แต่ถามว่าควรซื้อเลยตอนนี้ไหม สำหรับ Nothing Phone (3a) ก็จะแนะนำว่า ถ้าอยากได้สมาร์ตโฟนที่ใช้เพื่อเป็นเครื่องหลัก ในราคาเบา หรืออยากได้สมาร์ตโฟนเครื่องรองที่สามารถใช้งานได้แบบสบาย ๆ นาน ๆ Nothing Phone (3a) ก็เป็นทางเลือกที่ดี หรือถ้าอยากเลือกรุ่นนี้เป็นสมาร์ตโฟนจาก Nothing เครื่องแรกที่จะเปิดใจ ก็ไม่ขัดข้องเช่นกัน เพียงแต่ว่า ถ้าอยากได้สมาร์ตโฟนที่ให้ประสบการณ์แบบ Nothing ที่ครบ 100% จริง ๆ อาจจะต้องมองหา Nothing Phone (3a) Pro หรือไม่ก็รอ Nothing Phone (3) ที่จะเปิดตัวในช่วงครึ่งปีหลังนี้แทนจะดีกว่า เพราะสุดท้ายแล้ว นี่ก็ยังเป็นสมาร์ตโฟนราคาคุ้ม ที่ให้สเปกมาคุ้มเกินค่าตัว ไม่ใช่สมาร์ตโฟนเรือธง หรือเป็นสมาร์ตโฟนที่ทำได้ทุกอย่างขนาดนั้น

ใครที่สนใจในประสบการณ์สมาร์ตโฟนแบบ Nothing ที่ค่อนข้างยืนยันได้ว่า อาจจะเป็นมือถือนอกกระแส แต่ก็ยังให้ประสบการณ์ที่ดี ใช้งานลื่นไหล และดีไซน์แปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร และยังพัฒนาตัวเองมาเรื่อย ๆ ขนาดนี้ ตอนนี้สามารถซื้อผ่านร้านค้า Official Store ของ Shopee, Lazada ได้แล้ว หรือจะซื้อหน้าร้านผ่าน .Life, Jaymart หรือ AIS ก็ได้แล้วตอนนี้ ยิ่งมีคนหันมาใช้ Nothing เยอะ เขาก็มีช่องให้พัฒนาสมาร์ตโฟนให้ออกมาดีต่อไปด้วย แถมรับฟังเยอะขนาดนี้ ไม่แน่ว่าวันหนึ่ง ไอเดียที่เราเสนอไป อาจจะได้เอามาใช้จริงในสมาร์ตโฟนรุ่นต่อไปของ Nothing ก็ได้นะ

อันที่จริง เราก็ห่างหายจากสมาร์ตโฟน Nothing เรือธงมานานแล้วเหมือนกัน Nothing Phone (2) หรือเรือธงรุ่นก่อนหน้านั้น ยังใช้ชิปเซตแค่ Snapdragon 8 Elite และไม่มีกล้องถ่ายภาพซูมด้วยซ้ำ หลังจาก Nothing ผ่านการทำการบ้านมาอย่างหนักหน่วง พัฒนาตัวเองทั้งในด้านการเป็นบริษัท การทำสมาร์ตโฟน การทำการตลาด ไปจนถึงรู้แล้วว่าจะต้องทำสมาร์ตโฟนเรือธงออกมาอย่างไร ก็น่าสนใจไม่ใช่น้อยหรือว่า เรือธงที่ผ่านการคิดมาอย่างดีจริง ๆ จาก Nothing จะออกมาเป็นอย่างไร

ว่าแล้วก็ Nothing รีบออก Nothing Phone (3) มาให้เล่นจริง ๆ สักทีเถอะ !

นักเขียนตัวเล็กๆ (?) ที่โตมากับไขควงและเมนบอร์ด เพราะโดนเกณฑ์เป็นลูกมือช่างซ่อมคอม (ที่เรียกว่าพ่อ) มาตั้งแต่เด็ก ๆ โตมาเลยมาเอาดีเรื่องเทคฯแทน ชอบตามข่าวเทคฯ ใหม่ ๆ ลอง Gadget แปลก ๆ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ตโฟน หูฟัง คอมพิวเตอร์ แล้วเอามาเล่าให้ฟังกัน

8.4 / 10คะแนนรวม
กล้องถ่ายภาพ 8.5
ประสิทธิภาพภายในเครื่อง 7.5
หน้าจอ 8.0
แบตเตอรี่ 7.5
ดีไซน์ 10.0
ความคุ้มค่า 9.0

Nothing Phone (3a)

สมาร์ตโฟนราคาหมื่นกลางที่คุ้มที่สุด แต่ยังคุ้มได้อีกด้วยกล้องถ่ายภาพซูมครั้งแรกของแบรนด์

เรียกว่าอยู่ในช่วงทำคอมโบของ Nothing อย่างต่อเนื่องเลยก็ว่าได้ เมื่อ Nothing ตัดสินใจนำเอา Nothing Phone (2a) มาทำการบ้าน ปรับแก้สิ่งที่คนอยากได้ แต่ยังเก็บตัวตนของ Nothing เอาไว้เต็มเปี่ยม แถมในที่สุด ยังใส่กล้องถ่ายภาพซูมเป็นครั้งแรกอีก กับ Nothing Phone (3a) สมาร์ตโฟนที่ราคาคุ้ม สเปกคุ้ม แต่ยังคุ้มได้อีก

Pros
  • เป็นสมาร์ตโฟนที่มีความเป็น Nothing เต็มเปี่ยม ดีไซน์สวย ซอฟต์แวร์ดี ใช้งานลื่นไหลมาก
  • ในที่สุดก็ให้กล้องถ่ายภาพซูมมาในรุ่นนี้แล้ว แถมยังเป็นสมาร์ตโฟนที่ราคาคุ้มมาก ๆ ที่ได้ให้กล้องถ่ายภาพซูมมา
  • ฟีเจอร์ AI 'Essential Space' ที่ใช้งานได้จริง และเก่งขึ้นในทุก ๆ วันที่เราใช้
  • สเปกโดยรวมที่เน้นความคุ้มค่า ใช้งานได้สบาย ๆ ยาว ๆ ด้วยเรตราคานี้
Cons
  • ชิปเซตภายในเครื่องยังแอบช้าอยู่บ้างเล็กน้อย แต่แลกมาด้วยแบตเตอรี่ที่ใช้ได้ค่อนข้างนาน
  • แบตเตอรี่ที่แอบน้อยแล้วในปีนี้ ด้วยเทคโนโลยีแบตเตอรี่ใหม่ ๆ จากค่ายอื่น ๆ
  • ฟีเจอร์ AI ที่แม้จะโดดเด่น แต่ยังมีให้เล่นน้อย อาจจะต้องเร่งทำการบ้านกว่านี้เพื่อให้มี AI ที่เยอะพอไปแข่งกับเจ้าอื่นได้
  • เรตราคาที่แอบใกล้กับ CMF Phone 2 Pro ที่อาจจะทำให้คนสับสนได้ว่าอยากได้รุ่นไหนกว่ากัน

Advertisement

Sidebar Search
Popular Now
Loading

Signing-in 3 seconds...

Signing-up 3 seconds...