ในโอกาสก้าวสู่ปีที่ 9 ของการก่อตั้ง KX ศูนย์แลกเปลี่ยนและส่งเสริมนวัตกรรมนานาชาติครบวงจร นำโดย ดร. ภัทรชาติ โกมลกิติ CEO จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวนวัตกรรมจากโครงการ KX TECHBITE 5.0 โดย 13 Startups : Investment and Demo Day รวมพลังภาคอุตสาหกรรม ภาคเอกชน ภาครัฐ สร้างสรรค์นวัตกรรมและผู้ประกอบการเพื่ออนาคตเศรษฐกิจไทยที่ยั่งยืน ก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลาง ท่ามกลางภูมิรัฐศาสตร์โลกที่เปลี่ยนโฉมไป พร้อมผู้นำวงการ Startups, Venture Capital และนักลงทุนมาร่วมงาน ณ อาคาร KX – Knowledge Xchange ถนนกรุงธนบุรี
ดร.ภัทรชาติ โกมลกิติ (Patrachart Komolkiti) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร KX – Knowledge Xchange กล่าวว่า เรากำลังก้าวสู่ยุคที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและกำลังคนที่มีไอเดียสร้างสรรค์และสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ รัฐบาลมีแนวนโยบาย Ignite Thailand ยกระดับประเทศไทยสู่ศูนย์กลางเมืองแห่งอุตสาหกรรมระดับโลก ท่ามกลางภูมิรัฐศาสตร์โลกที่เปลี่ยนโฉมจากโลกมหาอำนาจขั้วเดียวเป็นหลายขั้วขณะที่ทรัพยากรมีจำกัด ซึ่งเศรษฐกิจ การเมือง สังคม เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมล้วนเชื่อมโยงเป็นเนื้อเดียวกัน หากมองอนาคตเศรษฐกิจไทยจะมั่นคงยั่งยืนและก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลางได้นั้นทั้งภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม-เอกชน ภาคการศึกษาของไทยต้องปรับตัวรอบด้าน วางแผนอย่างมีกลยุทธ์ ลงทุนให้ถูกทิศทาง ไม่เพียงดึงนักลงทุนมาเปิดอุตสาหกรรมในไทยเท่านั้น แต่ไทยต้องพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีของเราเองที่สามารถ ‘ขยายสเกล’ ออกสู่ตลาดโลกได้ KX- Knowledge Xchange ศูนย์แลกเปลี่ยนและส่งเสริมนวัตกรรมนานาชาติครบวงจร ซึ่งก้าวล้ำด้วยนิเวศนวัตกรรม มุ่งวิสัยทัศน์การก้าวเป็นผู้นำฮับของสตาร์ทอัพระดับโลก…ประตูสู่ความสำเร็จของพัฒนาอย่างยั่งยืนและขีดความสามารถในการแข่งขัน
ผลการดำเนินงาน KX – Knowledge Xchange ปี 2021 -2024 ได้สร้างผลดีต่อระบบนิเวศสตาร์ทอัพซึ่งเป็นผู้สร้างสรรค์นวัตกรรม โดยสร้างสตาร์ทอัพ 202 ทีม, เจรจาจับคู่ธุรกิจ 103 ราย, จัดกิจกรรมส่งเสริมนวัตกรรม 2,500 งาน, ร่วมมือกับหุ้นส่วนพันธมิตรกว่า 80 องค์กร, จัดหาแหล่งทุนกว่า 4.8 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ ราว 177 ล้านบาท และ Total Portfolio Valuation มีมูลค่า 24 ล้านเหรียญสหรัฐ ในโลกปัจจุบัน คนไทยไม่สามารถเดินเพียงลำพังได้ การเติบโตต้องเข้าถึงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และร่วมทำงานกับเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ จะเห็นว่า KX สามารถสร้าง 202 สตาร์ทอัพจาก 11 ประเทศ เรายังเป็นแหล่งรวม Mentors ชั้นนำจาก 6 ประเทศ และ 4 หุ้นส่วนพันธมิตรระดับโลก เป้าหมายของ KX จะสร้างแพลตฟอร์มนวัตกรรมเปิดเพื่อเสริมพลังศักยภาพให้ผู้ประกอบการในการนำโซลูชั่นเทคโนโลยีมาสู่ตลาดในทุกระยะของเส้นทางนี้ KX ร่วมทำงานกับภาคอุตสาหกรรมและภาครัฐในการยกระดับทีมที่เปี่ยมพลังเพื่อสร้างสรรค์ความก้าวหน้าเติบโตทางสังคมและเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียน
ผลงานเด่น KX ที่เป็นความสำเร็จจากสตาร์ทอัพ ซึ่งได้รับความสนใจในตลาดนานาชาติ อาทิ
ออสซีโอแล็บส์ (OsseoLabs) วัสดุทดแทนกระดูกแบบมีรูพรุน 3D พริ้นติ้งเฉพาะบุคคล รายแรกของอาเซียน ปฏิวัติรูปแบบใหม่ของระบบปลูกถ่ายผ่าตัดขากรรไกรใบหน้า กระดูก และข้อ สำหรับผู้ป่วยมะเร็งช่องปากซึ่งคนไทยเสียชีวิตเป็นอันดับต้นๆของมะเร็ง รวมถึงผู้ป่วยโรคกระดูกต่างๆ และผู้ประสบอุบัติเหตุ ผลตอบรับดีจากนานาชาติ วางตลาดโลกในปี 2567 ออสซีโอแลบส์ ( OsseoLabs) ได้รับการสนับสนุนจากเงินทุนร่วมลงทุนกว่า 2 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะนี้กำลังเตรียมเปิดตัวขั้นตอนการผ่าตัดในระดับสากล เช่น การสร้างขากรรไกรล่าง การสร้างกระดูกเท้าใหม่ การสร้างกระดูกสันหลังใหม่ ทั้งนี้เทคโนโลยี TPMS ที่ได้รับการจดสิทธิบัตร ซึ่งช่วยให้การปลูกถ่ายกระดูกที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและปรับแต่ง กระดูกทดแทนนี้ทำจากวัสดุไทเทเนียมที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเชิงกลออกแบบ’รูพรุน’ ภายในซึ่งช่วยให้มีน้ำหนักเบา เซลล์เนื้อเยื่อและเลือดสามารถไหลผ่านได้ เพื่อส่งเสริมการรวมตัวของกระดูกทดแทนกับกระดูกเดิมอย่างเหมาะสมที่สุด ทำให้ฟื้นตัวเร็ว อีกทั้งสามารถปรับแต่งได้ทั้งรูปร่าง ขนาด ความหนา และ ‘โครงสร้างรูพรุน’ ที่เป็นลิขสิทธิ์ ออสซีโอแลบส์ มีความเข้ากันได้กับร่างกายมนุษย์อัตราการปฏิเสธจึงต่ำกว่าอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับวิธีการทั่วไป ประกันผลลัพธ์ที่ดีกว่าของผู้ป่วย
เอ็นพีไอ (NPI) ระบบที่นอนอัจฉริยะอัตโนมัติควบคุม-ป้องกันแรงกดทับและกระจายการรับแรง Robotic AI เซ็นเซอร์เชื่อมต่อ IoT เป็นรายแรกของโลก แพทย์สามารถปรับสภาวะที่นอนให้เหมาะสมอย่างง่ายดายจาก iPad ลดแผลกดทับซึ่งเป็นปัญหาระดับสากลในโรงพยาบาลและชุมชนสังคม ลดอัตราการเสียชีวิต เพิ่มคุณภาพของการนอน
หมุดจัดฟันขนาดเล็กความแข็งแรงสูง (ZeroLoss)เป็นรายแรกของโลกที่ใช้เทคโนโลยีอากาศยาน (FSP : Fine Shot Peening) โดยกระบวนการยิงปรับพื้นผิวแรงสูงด้วยอนุภาคละเอียดที่ปลอดภัยทางชีวภาพ ทำให้โครงสร้างภายในแข็งแรง เสริมประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการจัดฟัน
ไอคิวบ์ (iCube) โซลูชั่นบริหารจัดการอุตสาหกรรมแบบไร้รอยต่อ ช่วยให้การตัดสินใจเชิงธุรกิจเป็นไปด้วยประสิทธิภาพ สามารถวิเคราะห์และจัดการข้อมูลการผลิตแบบเรียลไทม์ ลดต้นทุน และพัฒนากระบวนการผลิต
มดกัต (Modgut) บริการวิเคราะห์ไมโครไบโอมเฉพาะบุคคล ปรับยา อาหารเสริม มื้ออาหารให้สอดคล้องและสนองตอบต่อสุขภาพที่ดีของแต่ละคน
ด้าน ดร.เคตะ โอโน (Keita Ono) ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายพัฒนาระบบนิเวศนวัตกรรม KX Knowledge Xchange กล่าวว่า KX – Knowledge Xchange ศูนย์แลกเปลี่ยนและส่งเสริมนวัตกรรมนานาชาติครบวงจร เปิดดำเนินงานในปี 2016 ก่อตั้งโดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ด้วยปณิธานอันมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนนวัตกรรมและผู้ประกอบการด้วยองค์ความรู้แบบเปิด เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยสร้างระบบนิเวศและผนึกความร่วมมือทุกภาคส่วน ภายในตึก KX 20 ชั้น มีหน่วยงานและองค์กร 44 แห่งที่มาเปิดกิจการและร่วมมือกันในภารกิจเป็นส่วนหนึ่งของ Startup Ecosystem ครบครันสิ่งอำนวยความสะดวกและนิเวศ อาทิ กิจกรรมบ่มเพาะนวัตกรรมสร้างผู้ประกอบการ, FABLAB Bangkok บริการสร้างต้นแบบ (Prototyping service), การให้คำปรึกษา (Business consultation), พื้นที่ (Co-working space, Event space), การสนับสนุนด้านเทคโนโลยี (Technology support), คำปรึกษาด้านกฏหมาย (Legal consultation) และพัฒนาทักษะ (Workshop & Training)
หนึ่งในกิจกรรมสำคัญของวงการสตาร์ทอัพและนวัตกรรมของไทย คือ โครงการ TECHBITE ซึ่งปีนี้ KX เน้นย้ำคุณภาพระดับอินเตอร์อย่างต่อเนื่อง ผนึกกำลังพันธมิตรทั้งในและนานาชาติ โครงการ TECHBITE 5.0 เริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2567 ถึงเดือนกรกฎาคม 2567 ได้รับความสนใจอย่างท่วมท้น มีทีม Startup สมัครเข้าร่วม 80 บริษัท (120 ผู้ประกอบการ) จากหลากหลายอุตสาหกรรมทั่วประเทศไทยและชาวต่างประเทศด้วย KX โดยผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆได้ส่งเสริมให้ความรู้ ดำเนินการบ่มเพาะ วิจัยพัฒนาแนวคิด การวิเคราะห์ทดสอบทดลองความเป็นไปได้ สนับสนุนเครื่องมืออุปกรณ์ของศูนย์ KX ในการสร้างต้นแบบ รวมทั้งเสริมทักษะผู้ประกอบการ วางแผนการตลาด การหาแหล่งเงินทุนที่คาดหวังสำหรับการเติบโตในอนาคต
ในขั้นสุดท้ายของโครงการ TECHBITE 5.0 ผู้เชี่ยวชาญ KX ได้คัดเลือกผลงานของ Startup มานำเสนอแนวคิดนวัตกรรมบนเวที KX TECHBITE 5.0: Investment and Demo Day แก่คณะกรรมการและผู้ร่วมงาน มีจำนวน 13 ทีม (รายละเอียดในเอกสารแนบ) ได้แก่