Google มีสัญญาณเป็นผู้ชนะในสงคราม​ AI หลังบริษัทสามารถผสานรวมเข้ากับผลิตภัณฑ์ได้อย่างดีเยี่ยม

THE SUMMARY:

หากนึกถึงช่วงแรก ๆ ที่ Google เปิดให้ใช้งาน Gemini ต้องยอมรับว่าช่วงนั้น Genetative AI ของ Google ยังดูแปลก ๆ แต่หากลองใช้งานในปัจจุบันก็จะพบว่า Gemini ฉลาดขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก เนื่องจากความได้เปรียบหลายอย่างของ Google ทำให้บริษัทสามารถพัฒนา AI ได้เร็วแบบก้าวกระโดด

เมื่อปี 2022, OpenAI ไดเปิดตัว ChatGPT ที่พลิกโฉมวงการ AI ไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ ทำให้ Google และบริษัทเทคทั้งหลายตกอยู่ในสถานะผู้ตามในสายตาชาวโลกทันที เวลาต่อมา Microsoft ได้จับมือกับ OpenAI เร่งนำ AI เข้าสู่ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของ Microsoft อย่าง Bing, Microsoft Office แม้ว่า Google จะเปิดตัว Bard หรือ Generative AI ของตัวเองออกมา แต่เนื่องจากรประสิทธิภาพที่ยังไม่ถึงขั้นก็ทำให้ทุกสายตายังไม่มีความมั่นใจใน AI ของ Google เท่าที่ควร

Gemini Era

หลังจาก Bard เกิดสะดุด Google ได้รวมทีม Brain และ DeepMind เข้าด้วยกัน กลายเป็น Google DeepMind มุ่งเน้นไปที่การลงมือปฏิบัติจริง ไม่ใช่แค่เชี่ยวชาญด้านทฤษฎีอย่างเดียวอีกต่อไป จุดเปลี่ยนสำคัญคือการเปิดตัว Gemini ภายในงาน Google I/O 2023 ซึ่งซันดาร์ พิชัย (Sundar Pichai) ซีอีโอของ Google ได้บอกว่า นี่คือยุคของ Gemini ที่ผลิตภัณฑ์หลักทุกอย่างตั้งแต่ Search Engine, Gmail, YouTube ไปจนถึง Workspace จะได้รับการเสริมประสิทธิภาพด้วย AI

แม้ว่าช่วงแรกของ Gemini จะยังไม่สามารถชิงแสงไฟจาก ChatGPT ของ OpenAI ได้ แต่บริษัทยังคงพัฒนาต่อมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งเปิดตัว Gemini 2.5 Pro ที่ Google ได้ขิงประสิทธิภาพของ Gemini อย่างเต็มที่ โมเดล AI สามารถรองรับคอนเท็กซ์ขนาดมหาศาลถึง 1 ล้านโทเคน มากกว่า GPT-4 รองรับทั้งข้อความ ภาพ เสียง วิดีโอ และโค้ดในโมเดลเดียว ที่สามารถวิเคราะห์เหตุผลได้อย่างลึกซึ้ง ที่สำคัญคือ Gemini สามารถทำงานได้ระดับใกล้เคียงคู่แข่งหรือเหนือกว่าแต่ใช้ทรัพยากรน้อยกว่ามาก นับเป็นจุดแข็งสำคัญในการดึงดูดลูกค้ากลุ่มองค์กรขนาดใหญ่ ที่ต้องการประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาลอย่างมีประสิทธิภาพในต้นทุนที่ลดลง

ความได้เปรียบด้านโครงสร้างพื้นฐาน

Google ไม่ได้ได้เปรียบแค่เรื่องแค่เรื่องปริมาณข้อมูลที่มหาศาลและตัวโมเดลเท่านั้น แต่บริษัทยังมีโครงสร้างพื้นฐานที่ครบวงจรสำหรับการพัฒนา AI ตั้งแต่ฮาร์ดแวร์ไปจนถึงซอฟต์แวร์ โดยเฉพาะชิป TPU ใหม่ Ironwood ที่มีประสิทธิภาพที่สูงกว่าชิป GPU ทั่วไปอย่างมาก นึกภาพง่าย ๆ ว่าเหมือนกับ Apple ที่สามารถออกแบบซอฟต์แวร์ให้เข้ากับซอฟต์แวร์ได้อย่างลื่นไหล ซึ่งบริษัทอื่นสู้ไม่ได้

นอกจากนี้ แพลตฟอร์ม Vertex AI ระบบวิเคราะห์ข้อมูล BigQuery และแอปในชุด Workspace ถูกผสานการทำงานร่วมกับ Gemini ได้อย่างแนบเนียน ช่วยให้ลูกค้าระดับองค์กรไม่ต้องเสียเวลาในการเชื่อมต่อกับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ Google จึงสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ด้าน AI ที่ครบวงจร มีทั้งประสิทธิภาพ ต้นทุน และประสบการณ์ใช้งานที่เหนือกว่าคู่แข่ง

ผู้ใช้งานมหาศาล

แม้ว่าในแง่ของจำนวนผู้ใช้งาน Gemini จะยังน้อยกว่า ChatGPT โดย Gemini มีผู้ใช้งานต่อเดือนประมาณ 350 ล้านคน ส่วน ChatGPT มีผู้ใช้งาน 600 ล้านคนต่อเดือน แต่หากพิจารณาว่า Google กำลังขยาย Gemini เข้าไปสู่ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ อย่าง Search, Android, Chrome, Gmail และ YouTube จะทำให้ตัวเลขผู้ใช้งานเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน

ยกตัวอย่าง Search Engine อย่าง Google Search ได้ฟีเจอร์ใหม่ที่ชื่อว่า AI Mode ซึ่งเป็นเครื่องมือ AI แบบฝังตัวที่ช่วยสรุปข้อมูลจากการค้นหาในทันที รองรับคำถามที่ซับซ้อนมากขึ้นโดยไม่ต้องเปิดหลายลิงก์ เหมือนแชตบอตในตัว ส่วน ​Android กำลังผนวกรวม Gemini เข้ามาในระบบโดยที่ผู้ใช้งานไม่ต้องดาวน์โหลดเพิ่ม นี่คือความสามารถของ Google ในการกระจายแอปพลิเคชันในชนิดที่คู่แข่งเทียบได้ยาก

ชัยชนะในวันนี้

Google ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า การเป็นผู้นำ AI ในยุคนี้ไม่เกี่ยวกับการมาก่อน มาทีหลัง หรือมีงานวิจัยมากมายเพียงอย่างเดียว แต่ต้องรวมถึงการลงมือทำอย่างจริงจัง โครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และการกระจายตัวของผลิตภัณฑ์ที่ไปได้เร็วและทั่วถึง ต่อไปขึ้นอยู่กับว่า Google จะสามารถครองตำแหน่งนี้ได้อีกนานขนาดไหน คู่แข่งอย่าง OpenAI, Anthropic อาจปล่อยโมเดลที่สามารถพลิกสถานการณ์ออกมาได้ทุกเมื่อ

ที่สำคัญคือตอนนี้กฏหมาย AI ยังไม่ได้ถูกนำขึ้นมาใช้อย่างจริงจัง ซึ่งกฏหมายอาจเป็นภัยที่น่ากลัวที่สุดของ Google ในอนาคต

ที่มา Medium

Advertisement

Sidebar Search
Popular Now
Loading

Signing-in 3 seconds...

Signing-up 3 seconds...