วอลต์ ดิสนีย์ สร้างความตื่นเต้นครั้งใหญ่ด้วยการเปิดตัวโครงการ “Disneyland Abu Dhabi” อย่างเป็นทางการ ณ กรุงอาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งถือเป็นสวนสนุกดิสนีย์แห่งแรกในภูมิภาคตะวันออกกลาง และยังเป็นรีสอร์ตระดับโลกลำดับที่ 7 ของบริษัทอีกด้วย
สิ่งที่น่าจับตามองคือการประกาศนี้เกิดขึ้นเพียงหนึ่งเดือนหลัง Universal เปิดตัวโครงการรีสอร์ตใหม่ในสหราชอาณาจักร และอีกไม่กี่สัปดาห์ก่อนการเปิดตัว “Epic Universe” ที่เซ็นทรัลฟลอริดา ซึ่งนับเป็นการเปิดตัวสวนสนุกครั้งใหญ่ในรอบกว่า 26 ปีของอเมริกา
ในขณะเดียวกัน Disneyland Abu Dhabi ก็เป็นสวนสนุกดิสนีย์แห่งแรกที่มีการประกาศสร้างใหม่ในรอบกว่า 15 ปี นับจากการเปิดตัว Shanghai Disneyland ในปี 2010 โดยโครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่างดิสนีย์และ Miral บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลอาบูดาบี ผู้อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยน “เกาะยาส” (Yas Island) ให้กลายเป็นศูนย์กลางความบันเทิงระดับโลก ที่ผ่านมาพวกเขาเป็นผู้พัฒนา SeaWorld Abu Dhabi, Warner Bros. World และ Yas Waterworld มาแล้ว
การเดินหน้าของดิสนีย์ในตะวันออกกลางครั้งนี้ทำให้หลายคนย้อนนึกถึงเหตุการณ์ของ Universal Studios Dubailand โครงการสวนสนุกที่เคยเป็นความหวังใหญ่ของดูไบ ซึ่งเปิดตัวในปี 2008 ผ่านความร่วมมือระหว่าง Universal และ Tatweer บริษัทในเครือ Dubai Holding โดยมีกำหนดเปิดในปี 2010
โครงการนี้เคยถูกวางให้เป็นแลนด์มาร์กใหม่ของภูมิภาค ด้วยงบลงทุนสูงถึง 8,000 ล้านดีแรห์ม (ประมาณ 7 หมื่นล้านบาท) โดยตั้งเป้าดึงดูดนักท่องเที่ยวปีละกว่า 5 ล้านคน แต่ด้วยปัญหาทางการเงินในปี 2008 ทำให้โครงการหยุดชะงักหลังเริ่มก่อสร้างได้ไม่นาน
แม้จะมีความพยายามในการกู้โครงการกลับมาอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าเพิ่มเติมหลังปี 2009 จะมีเพียงประตูที่มีโลโก้ยูนิเวอร์แซลสตูดิโอเท่านั้นที่เป็นหลักฐานของโครงการนี้ และในที่สุดก็ถูกยกเลิกอย่างเป็นทางการในปี 2016
เกาะยาส ซึ่งอนาคตจะกลายเป็นที่ตั้งของ Disneyland Abu Dhabi มีพื้นที่ทั้งหมดราว 25 ตารางกิโลเมตร อยู่ห่างจากตัวเมืองอาบูดาบีเพียง 20 นาที และใช้เวลาเดินทางจากดูไบแค่ 50 นาที ทำเลนี้จึงเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ยอดเยี่ยมในการเจาะตลาดนักท่องเที่ยวจากเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ ซึ่งรวมกันแล้วมีประชากรกว่าหลายร้อยล้านคน
ดิสนีย์ยังเผยว่า 1 ใน 3 ของประชากรโลกสามารถเดินทางมายังที่นี่ได้ภายในเวลาเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้นผ่านสนามบินอาบูดาบีและดูไบ ซึ่งนับรวมแล้วมีผู้โดยสารกว่า 120 ล้านคนต่อปี แสดงให้เห็นถึงความพร้อมทั้งในด้านการเดินทางและศักยภาพทางเศรษฐกิจ และกลายเป็ยปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของดิสนีย์
โดยเดนนิส สปีเกล (Dennis Speigel) ผู้ก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษาด้านสวนสนุก International Theme Park Services ให้ความเห็นว่า แม้ตะวันออกกลางจะเคยมีโครงการสวนสนุกที่ไม่ประสบความสำเร็จมาก่อน แต่การที่ดิสนีย์เลือกเข้ามาในช่วงที่โครงสร้างพื้นฐานของอาบูดาบีพร้อม และผู้คนเปิดรับมากขึ้น ทำให้โครงการนี้มีความมั่นคงมากกว่าครั้งไหน ๆ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่าเกาะยาสในปัจจุบันได้รับการพัฒนาโดย Miral ซึ่งมีประสบการณ์กับสวนสนุกระดับโลกโดยตรง รวมทั้งยังมีทั้งสนามกอล์ฟ ท่าจอดเรือ ห้างสรรพสินค้า และร้านอาหารกว่า 165 แห่ง
แม้จะยังไม่มีรายละเอียดของโครงการถูกเปิดเผยออกมา แต่ดิสนีย์ยืนยันว่า Disneyland Abu Dhabi จะมีความแตกต่างจากสวนสนุกแห่งอื่น ๆ อย่างแน่นอน โดยหนึ่งในความแปลกใหม่คือจะไม่มีปราสาทแบบเทพนิยายอย่างที่เราคุ้นเคยกันอีกต่อไป แต่จะใช้สถาปัตยกรรมแบบร่วมสมัย ที่ผสานเข้ากับความงดงามของวัฒนธรรมอาหรับและเทคโนโลยีแห่งอนาคตเอาไว้ด้วยกัน โดยจากภาพจำลองที่ดิสนีย์เผยแพร่ออกมานั้น จะแสดงให้เห็นโครงสร้างปราสาทล้ำสมัยคล้ายคริสตัล ที่มีลักษณะหมุนวนตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางสวนสนุก
นอกจากนี้ ดิสนีย์ยังนำเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่าง Unreal Engine ซึ่งใช้ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวิดีโอเกมมาใช้ในเครื่องเล่น เพื่อสร้างประสบการณ์ “แอนิเมชันแบบเรียลไทม์” ให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสความสมจริงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ซึ่งทั้งหมดนี้ต่างสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของอาบูดาบี ที่ต้องการสร้างจุดหมายปลายทางแห่งการท่องเที่ยวในอนาคต ที่เน้นความทันสมัย ยั่งยืน และสอดคล้องกับบริบทท้องถิ่น และที่สำคัญ นี่จะเป็นรีสอร์ตดิสนีย์แห่งแรกในโลกที่ตั้งอยู่ริมทะเลอย่างแท้จริง ซึ่งแตกต่างจากโตเกียวดิสนีย์รีสอร์ท ที่แม้จะสร้างขึ้นบนขอบมหาสมุทรแปซิฟิก แต่ก็ทำได้เพียงแค่มองทะเลจากนอกกำแพงสวนสาธารณะเท่านั้น เรียกว่าสมกับการเปิดตัวครั้งใหญ่ในรอบ 15 ปีจริง ๆ
ที่มา Disney, CNN, ArabianBusiness