ไทยได้รับความช่วยเหลือจากนานาชาติ ระดมกำลังเพื่อเร่งค้นหาผู้ที่ติดอยู่ใต้ซากอาคารแข่งกับเวลา หนึ่งในนั้นคือ เจ้าหน้าที่กู้ภัยจากอิสราเอลที่มาพร้อมอุปกรณ์ครบมือ รวมถึงเทคโนโลยีสุดล้ำอย่าง Xaver วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับเครื่องเรดาร์สแกนทะลุกำแพงที่ช่วยให้การค้นหาผู้ประสบภัยรวดเร็วขึ้น
Xaver คือ อุปกรณ์ที่ทีมกู้ภัยอิสราเอลนำมาใช้ช่วยค้นหาผู้ประสบภัยใต้ซากตึก สตง. ถล่มในไทย เครื่องนี้พัฒนาโดยบริษัท camero-tech เดิมทีสร้างขึ้นเพื่อใช้ปฏิบัติการด้านทหารและช่วยเหลือตัวประกัน แต่หลายประเทศรวมถึงอิสราเอลเอามาประยุกต์ใช้ด้านค้นหาและกู้ภัย ซึ่งรุ่นที่นำมาใช้ปฏิบัติงานในไทยก็มี 2 รุ่นคือ Xaver 100 และ Xaver 400
Xaver 100
ตัวเครื่องขนาดกะทัดรัด มีขนาดใหญ่กว่ามือถือเล็กน้อย เน้นพกพาสะดวก ใช้งานมือเดียวได้ให้คล่องตัวตอนปฏิบัติงานที่ต้องแข่งกับเวลา เพื่อให้ได้ข้อมูลอย่างรวดเร็วเพื่อให้รับมือสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที ด้วยอินเทอร์เฟซที่เข้าใจง่าย ใช้เวลาเรียนรู้สั้น ๆ ก็เข้าใจได้ง่าย
เวลางานใช้ต้องนำเครื่องแนบกำแพง เพื่อยิงเรดาร์ Ultra-Wideband ทะลุกำแพงหนา ๆ รวมถึงสิ่งกีดขวางไปได้ไกลถึง 20 เมตร เมื่อเจอคนหรือวัตถุ เรดาร์จะสะท้อนกลับมาพร้อมบอกตำแหน่ง ระบุจำนวนคน พร้อมสัญญาณสิ่งมีชีวิตได้แบบเรียลไทม์บนหน้าจอ แต่ข้อมูลนั้นจะเป็นภาพแบบมิติเดียวแสดงระยะห่างของผู้ประสบภัยแต่ละคน ซึ่งเซนเซอร์นั้นมีความละเอียดสูงจนสามารถตรวจจับสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กได้เช่นกัน ด้วยข้อมูลทั้งหมดนี้จะช่วยให้หน่วยกู้ภัยตัดสินใจและวางแผนช่วยเหลือผู้ประสบภัย ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
Xaver 400
รุ่นนี้จะเป็นรุ่นที่แอดวานซ์ขึ้นมา ตัวเครื่องมีขนาดใหญ่ขึ้นต้องใช้สองมือจับเวลาใช้งาน สิ่งที่แตกต่างคือ แสดงระยะได้ละเอียดกว่ารุ่น Xaver 100
สามารถติดตามการเคลื่อนไหว พร้อมบอกระยะห่างของเป้าหมายได้แบบ Real time ที่สำคัญคือ สแกนแล้วจะสร้างแผนผังและโครงสร้างของพื้นที่ได้ว่ามีกำแพง/สิ่งกีดขวางอยู่ตรงไหนบ้าง ทำให้ทีมกู้ภัยสามารถรับข้อมูลสำคัญเพื่อเตรียมตัวก่อนปฏิบัติการกู้ภัยได้
XAVERNET
นอกจาก Xaver 100 และ Xaver 400 แล้ว ก็ยังมีการนำ XAVERNET หน้าจอไร้สายเพื่อรับสัญญาณภาพ Xaver 100 และ Xaver 400 ในระยะ 200 เมตรด้วยโปรโตคอล Zigbee เพื่อช่วยให้ทีมวิเคราะห์และวางแผนได้รับข้อมูลภาพแบบเรียลไทม์จาก Xaver ถึง 4 เครื่องพร้อมกัน พร้อมสั่งงานจากระยะไกลได้เพื่อลดจำนวนเจ้าหน้าที่ที่มีความเสี่ยงในการปฏิงาน
เหตุการณ์ตึก สตง. ถล่มในครั้งนี้ทำให้ต้องหันมาให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีกู้ภัยมากขึ้น เพราะทุกนาทีที่ผ่านไปคือโอกาสรอดชีวิตของผู้ประสบภัย หากรอความช่วยเหลือจากต่างชาติอาจไม่ทันการณ์ ไทยเองก็มีทรัพยากรค่อนข้างพร้อม บุคลากรก็พร้อม เหลือที่ฝั่งของผู้มีอำนาจรับผิดชอบจะมีวิสัยทัศน์แค่ไหน