ถ้าพูดถึงรถกระบะในประเทศไทย มีไม่กี่ชื่อที่ทุกคนรู้จักและไว้ใจ หนึ่งในนั้นคือ Toyota Hilux รถที่อยู่คู่คนไทยมาอย่างยาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ เริ่มต้นจากรถกระบะตัวเล็กในญี่ปุ่น จนกลายเป็นตำนาน “รถที่ฆ่าไม่ตาย” ที่ถูกพูดถึงไปทั่วโลก เรื่องราวการเดินทางของ Hilux จึงไม่ใช่แค่การพัฒนารถยนต์ แต่ยังสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของสังคมและวิถีชีวิตคนในแต่ละยุคอีกด้วย
รุ่นที่ 1 (1968–1972): จุดเริ่มต้นของ Hilux
การเดินทางของ Hilux เริ่มต้นขึ้นในปี 1968 ภายใต้รหัส RN10 โดยมี Hino Motors เป็นผู้ผลิตให้ในช่วงแรก จุดประสงค์คือการสร้างรถกระบะที่แข็งแรง ใช้งานง่าย และตอบโจทย์ทั้งการบรรทุกและการเดินทางส่วนบุคคล รุ่นแรกมาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร กำลังประมาณ 70 แรงม้า แม้สมรรถนะจะไม่ได้หวือหวา แต่ Hilux ก็เริ่มสร้างชื่อเสียงเรื่องความทนทานตั้งแต่วันแรกที่ออกสู่ตลาด
รุ่นที่ 2 (1972–1978): ความนิยมที่ขยายตัวในยุค 70s
ในปี 1972 Hilux รุ่นที่ 2 (รหัส RN20 / RN25) ถูกเปิดตัว พร้อมขนาดที่ใหญ่ขึ้น รูปทรงใหม่ เครื่องยนต์หลักเป็นเบนซิน 1.6 ลิตร รหัส 12R และต่อมาเพิ่มทางเลือกเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร (18R) รวมถึงเกียร์อัตโนมัติ 3 สปีดในบางรุ่น รุ่นนี้ช่วยให้ Hilux เริ่มขยายตลาดออกไป แล้วคนในหลายประเทศเริ่มรู้จักมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดที่ต้องการความคงทนในการใช้งาน
รุ่นที่ 3 (1978–1983): เปิดตัวรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อครั้งแรก
ปี 1978 คือก้าวสำคัญของ Hilux กับโฉม RN30 / RN40 ที่เริ่มมีตัวเลือกรูปทรง 4 ประตู และรุ่นขับเคลื่อน 4WD มีเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร รหัส 18R สำหรับรุ่น 4WD ในช่วงปลายยุคนี้ Hilux ยังเริ่มมีตัวเลือกเครื่องยนต์ดีเซลเข้ามา และมีการผลิตในโรงงานของตัวเอง ทำให้ภาพจำของ Hilux ไม่ได้เป็นเพียงรถบรรทุก แต่กลายเป็นรถที่พร้อมลุยทุกเส้นทาง ตั้งแต่ถนนลูกรัง ทุ่งนา ไปจนถึงภูเขาสูง
รุ่นที่ 4 (1983–1988): แข็งแรงและหลากหลายขึ้น
Hilux รุ่นที่ 4 (รหัส N50 / N60 / N70) เปิดตัวในปี 1983 มีตัวเลือก “Xtracab” เพิ่มเข้ามา ทำให้ห้องโดยสารหลังมีพื้นที่ใช้งานเพิ่มขึ้น เครื่องยนต์เบนซินรหัส 22R / 22R-E รวมถึงเครื่องยนต์ดีเซล 2L / 2L-T ก็เข้ามาในช่วงนี้ในไทยโฉมนี้เคยถูกเรียกว่า “เฮอคิวลิส” และมีรุ่นที่คนไทยรู้จักกันดี “Hilux Hero” โดยใช้เครื่องดีเซลรหัส 2L 2.5 ลิตร
รุ่นที่ 5 (1988–1997): การเติบโตในประเทศไทย (Mighty-X)
ปี 1988 Hilux รุ่นที่ 5 เปิดตัว ปรับขนาดตัวถังให้ยาวขึ้น ห้องโดยสาร Xtracab ใหญ่ขึ้น มีตัวเลือกแบบเบาะหลังสนทนาได้ดีขึ้น และเริ่มมีตัว “Mighty-X” ที่คนไทยชื่นชอบมาก เนื่องจากรูปลักษณ์โค้งมนกว่าเดิม พร้อมสมรรถนะเครื่องยนต์ดีเซล 2.5 ลิตร (2L II) เป็นหลัก และในช่วงหลังเพิ่มตัวเลือก 2.8 ลิตร (3L) เข้าไปด้วย Mighty-X ไม่ได้เป็นแค่รถทำงาน แต่มันกลายเป็นรถที่วัยรุ่นแต่ง ชาวบ้านใช้ในชีวิตประจำวัน
รุ่นที่ 6 (1997–2004): โฉม Tiger — ความทันสมัยและขีดความสามารถก้าวขึ้น
จากประมาณปี 1997 เป็นต้นไป Hilux รุ่น Tiger (รหัส N140 / N150 / N160 / N170) กลายเป็นจุดเปลี่ยนอีกครั้ง เนื่องจากประเทศไทยเริ่มเป็นฐานการผลิตสำคัญให้ทั่วโลก เครื่องยนต์ดีเซลใหม่ ๆ เช่น 5L / 1KZ และระบบหัวฉีด/เทอร์โบ เริ่มเข้ามามากขึ้น รวมถึงการปรับปรุงช่วงล่างและความสะดวกสบายภายใน โฉม Tiger ถือเป็นช่วงที่ Hilux มีทั้งความแข็งแรง งานหนัก และความสามารถใช้ในเมืองผสมผสานกันได้ดี
รุ่นที่ 7 Vigo (2004–2015): ยุคทองในไทย
โฉม Vigo ถือเป็นยุคทองของ Hilux ในไทย เปิดตัวตั้งแต่ปี 2004 และอยู่บนตลาดได้นานถึง 11 ปี มันมีตัวเลือกรูปร่างหลากหลาย (2 ประตู / 4 ประตู / Xtracab / ขับเคลื่อน 2 / ขับเคลื่อน 4) มีรุ่น Smart Cab ที่ฝาแค็บเปิดกว้างเป็นตัวเลือกหนึ่ง สิ่งที่โดดเด่นคือเครื่องยนต์ดีเซล 1KD-FTV 3.0 ลิตร และ 2KD-FTV 2.5 ลิตร เป็นต้น เครื่องยนต์เบนซิน 2TR-FE 2.7 ลิตรก็มีให้เลือกสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการใช้ในเมืองหรืออยากจูนแก๊สภายหลัง Vigo ติดตลาดได้ดีมากทั้งงานหนัก การเดินทาง และตลาดแต่งรถ
รุ่นที่ 8 Revo (2015–ปัจจุบัน): ยุคสมัยใหม่และทางเลือกที่หลากหลาย
ปี 2015 Hilux Revo เปิดตัวมาพร้อมโฉมใหม่ที่แตกต่างทั้งรูปลักษณ์ภายนอก เทคโนโลยีความปลอดภัย และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเพิ่มเติม เช่นไฟ DRL (Daytime Running Lights) ฯลฯ เครื่องยนต์ดีเซลมีให้เลือกทั้ง 2.8 ลิตร (1GD-FTV), 2.4 ลิตร (2GD-FTV) และเครื่องยนต์เบนซิน 2.7 ลิตร (2TR-FE) สำหรับตลาดในไทย Revo ได้รับการออกแบบให้ตอบโจทย์ทั้งผู้ใช้ที่เน้นความแรง ทนทาน และผู้ใช้ที่อยากได้ความสะดวกสบายเพิ่มเติม
จากปี 1968 จนถึงปัจจุบัน Toyota Hilux ได้พัฒนาผ่าน 8 เจเนอเรชันกลายเป็นหนึ่งในรถกระบะที่มีอิทธิพลต่อวงการยานยนต์ทั่วโลกจุดเด่นของ Hilux อยู่ที่การปรับตัวตามยุคสมัยทั้งในด้านสมรรถนะความทนทานและความสะดวกสบายที่ตอบโจทย์ผู้ใช้หลากหลายกลุ่มสำหรับประเทศไทย Hilux ไม่เพียงมีบทบาททางเศรษฐกิจแต่ยังสะท้อนวิถีชีวิตของผู้คนในหลายช่วงเวลาทำให้ Hilux กลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์การเดินทางร่วมสมัย