
Marshall นั้นมีลำโพงพกพา 4 พี่น้องยอดนิยมที่หมุนเวียนกันออกรุ่นใหม่อยู่เรื่อย ๆ น้องเล็กสุดคือ Marshall Willen II ลำโพงโมโนขนาดจิ๋วสุดของค่าย ตัวกลางคือ Marshall Emberton III ลำโพงสเตอริโอที่ให้กำลังเสียงสมดุลกับขนาด พี่รองคือ Marshall Middleton II ที่ให้เสียงใหญ่ปูเต็มห้องได้ไม่ยาก และพี่ใหญ่คือ Marshall Kilburn III ที่ให้เสียงดังที่สุด
ซึ่งวันนี้เราจะรีวิว Marshall Middleton II ที่เพิ่งออกมาอย่างละเอียด กว่าปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่ารุ่นเดิมแค่ไหน แล้วเราควรเลือกลำโพงรุ่นไหนของ Marshall ดี

งานออกแบบของ Middleton II นั้นแทบไม่แตกต่างจาก Middleton รุ่นแรกครับ คือเป็นลำโพงทรงบล็อกอิฐขนาดใหญ่ มีสายคล้องมือเท่ ๆ ผ้าด้านนอกเป็นสีดำ ส่วนด้านในสีแดง ที่นอกจากจะเสริมลำโพงให้ดูสวยแล้ว ยังจับถือได้สะดวกขึ้น โดยลำโพงมีน้ำหนัก 1.8 กิโลกรัม หนักกว่า Emberton ราว 1 กิโลกรัม เลยเป็นลำโพงที่สามารถเอาไปใช้นอกสถานที่ได้ไม่ยาก แต่ก็ไม่ใช่ไซซ์ที่จะพกติดตัวได้สบายเหมือน Willen หรือ Emberton

การควบคุมลำโพงทั้งหมดนั้นจะอยู่ที่ด้านบนลำโพง โดยมีปุ่มเชื่อม Bluetooth, ปุ่มเปิด-ปิด, ปุ่ม Control Knob สีทองเหลืองที่สั่งงานได้หลายอย่าง แล้วก็ปุ่มเพิ่ม-ลด EQ 2 ย่าน คือปรับเพิ่ม-ลดเสียงต่ำกับเสียงสูงได้ ซึ่งจะเห็นได้ว่า Middleton II นั้นแยกปุ่มเปิด-ปิดเครื่องออกมาจาก Control Knob เหมือนลำโพง Marshall รุ่นปัจจุบันแล้ว ต่างจาก Middleton ตัวแรกที่ให้กดปุ่ม Control Knob ค้างเพื่อเปิด-ปิดเครื่อง
ซึ่งตัวปุ่มทองเหลืองนี้สั่งงานได้หลายอย่างคือ
โดยความสามารถใหม่ของ Middleton II คือมีไมโครโฟนในตัว ทำให้ใช้เป็น Speaker Phone เสียงดังได้ครับ ถ้าอยู่ในห้องเงียบ ๆ ก็เป็นไมค์ที่ชัดเลย แต่ด้วยความที่มีไมโครโฟนแค่ตัวเดียว ไม่ได้มีความสามารถในการดึงเสียงระยะไกล หรือตัดเสียงรบกวนมากนัก ถ้ามีเสียงรบกวนเยอะ อาจจะต้องคุยใกล้ลำโพงหน่อย
ส่วนด้านหลังของลำโพงจะมีพอร์ตชาร์จ USB-C ซึ่งทำได้ทั้งการชาร์จเข้า และการจ่ายไฟออกสำหรับเป็น Power Bank ให้อุปกรณ์อื่น ๆ แต่จะชาร์จได้แค่กำลัง 5 W นะ และไม่สามารถใช้พอร์ต USB-C นี้รับสัญญาณเสียงได้โดยตรงนะครับ จะต้องใช้พอร์ต AUX 3.5 mm ข้าง ๆ แทน

ซึ่งลำโพงรุ่นนี้รองรับมาตรฐานกันฝุ่นกันน้ำ IP67 ครับ สามารถลงน้ำไม่เกิน 1 เมตร นานไม่เกิน 30 นาทีได้เลย แถมลอยน้ำได้ด้วย สามารถเอาไปใช้ริมสระน้ำ ริมชายหาดได้สบาย ๆ

ลำโพงตัวนี้สามารถควบคุมฟีเจอร์ระดับสูงได้ผ่านแอป Marshall ซึ่งเราสามารถปรับ EQ แบบละเอียด 5 band ได้ผ่านแอป แล้วก็สามารถอัปเดตเฟิร์มแวร์ของลำโพงผ่านแอปได้เช่นกัน
นอกจากนี้สำหรับคนที่ต้องการใช้ฟีเจอร์ Auracast เพื่อให้ลำโพงรับเสียงจากสถานี Auracast ก็ต้องมาเซ็ตอัปผ่านแอปตัวนี้ครับ ซึ่ง Middleton 2 ไม่รองรับการเชื่อมต่อลำโพงหลายตัวแบบ Stack Mode เหมือน Middleton 1 แล้ว โดยเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีกลางอย่าง Auracast แทน ทำให้ถ้าเรามีลำโพง Marshall รุ่นเก่าที่รองรับ Stack Mode เช่น Emberton 2 หรือ Willen ก็ไม่สามารถส่งเสียงออก Middleton 2 กับ Emberton 2 พร้อมกันได้ แต่ถ้าเป็นลำโพง Marshall รุ่นที่รองรับ Auracast ด้วยกันเช่น Kilburn 3 กับ Middleton 2 อันนี้ทำให้เสียงออกพร้อมกันได้
นอกจากนี้ในแอปเรายังสามารถตั้งค่าระบบพลังงานของลำโพง ตั้งแต่เมื่อไม่มีการเล่นเพลงจะให้ลำโพงรอกี่นาทีถึงจะดับเครื่องเอง หรือการตั้งค่าเพื่อยืดอายุแบตเตอรี่ให้เสื่อมช้าลง โดยทำได้ 3 ระดับคือ



สำหรับคนทั่วไปเราว่ากำหนดไวที่ระดับ 2 กำลังดีครับ เพราะตามสเปกตัวลำโพงสามารถใช้ต่อเนื่องได้ยาวสุด 30 ชั่วโมง ซึ่งเราเปิดเพลงฟังต่อเนื่องวันละ 2-3 ชั่วโมง ก็ฟังได้เป็นสัปดาห์อยู่นะครับ เพราะฉะนั้นชาร์จสูงสุด 95% ก็ไม่ทำให้เวลาในการใช้งานดรอปลงเท่าไหร่ โดยภายในใช้แบตเตอรี่ขนาด 4750 mAh ใหญ่กว่ารุ่นแรกที่ใช้แบต 3000 mAh
ส่วนความเร็วในการชาร์จผ่าน USB-C ตามสเปกบอกว่าชาร์จแค่ 20 นาที ก็สามารถใช้งานได้ 5 ชั่วโมงแล้ว (ถ้าหัวชาร์จเร็วพอ) ซึ่งกำลังไฟในการชาร์จสูงสุดอยู่ราว ๆ 33 W ก่อนที่จะลดมาเป็น 27 W และ 17 W ตามระดับของแบตเตอรี่ครับ

ลำโพงรุ่นนี้ประกอบด้วยไดรเวอร์ 4 ตัว และ Passive Radition อีก 2 ตัวเพื่อให้เสียงเบสได้สั่นสะเทือน โดยด้านหน้าและด้านหลังลำโพงจะมีไดรเวอร์ทวีตเตอร์สำหรับเสียงแหลมขนาด 0.6 นิ้ว และ Passive Radition อย่างละตัว ส่วนด้านข้างทั้ง 2 ข้างก็จะมีวูฟเวอร์ขนาด 3 นิ้วอยู่ด้านละตัวเช่นกัน ทำให้ลำโพงรุ่นนี้ให้เสียงออกได้ 360 องศารอบตัว และให้เสียงที่มีความกว้าง ฟังตรงไหนของห้องก็รู้สึกว่าเป็นเสียงสเตอริโอ จากการจัดดอกลำโพงเสียงแหลมที่อยู่ด้านหน้าและด้านหลังลำโพงครับ
โดย Marshall Middleton II ตอบสนองความถี่เสียงตั้งแต่ 45 – 20,000 Hz ให้ความดังสูงสุด 91 dB ที่ระยะ 1 เมตร เทียบกับ Emberton II ตอบสนองความถี่ 60 – 20,000 Hz ให้ความดังสุด 87 dB ที่ระยะ 1 เมตร ก็คือ Middleton II ให้เสียงเบสได้ลึกกว่า และดังกว่าครับ
ส่วนการเชื่อมต่อ Bluetooth รองรับ Codec SBC, AAC และ LC3 รองรับเสียงคุณภาพสูงสุดของ iPhone และยังรองรับการเชื่อมต่อแบบ Multipoint คือเชื่อมอุปกรณ์ได้ 2 ตัวพร้อมกัน สลับไปมาได้โดยไม่ต้องจับคู่กันใหม่
ลำโพงรุ่นนี้ให้เสียงมีน้ำมีนวลครับ ให้เบสลูกใหญ่อย่างที่หวังได้กับลำโพงตัวขนาดนี้ แล้วให้เสียงได้รอบทิศทาง 360 องศารอบตัวลำโพง มีความดังมากพอสำหรับห้องย่อม ๆ โดยลักษณะเสียงเมื่อฟังด้วย EQ มาตรฐานที่มากับลำโพงจะเป็นดังนี้
เสียงเบส: ให้ลูกใหญ่ ให้ความหนักแน่น เป็นเบสเหมือนคลื่นน้ำแผ่วงใหญ่ ๆ แม้ไม่ได้ลงลึกสุด แต่มากระแทกตัวกำลังสนุก
เสียงกลาง: ชัดเจน เสียงสดใส สว่าง ไม่โดนเบสมากวน จึงให้เสียงร้องได้หวานไพเพราะ ซึ่งรุ่นนี้รู้สึกได้ว่ามีการยกย่านเสียงกลางให้สว่างขึ้นกว่า Middleton ตัวแรก ทำให้เสียงออกมาน่าฟัง
เสียงแหลม: ให้รายละเอียดได้ดี มีความคมระดับหนึ่ง ให้อิมเมจของเสียงได้ดี แต่เสียงแผดของกีต้าร์ไฟฟ้าก็ยังเก็บตัว ไม่พุ่งไปสุด
เรื่อง Soundstage ทำได้ดี รู้สึกได้ชัดเจนถึงความกว้างและเสียงสเตอริโอ แต่เมื่อเร่งเสียงดัง ๆ จะรู้สึกว่าเสียงเบสโดนบีบ Dynamic บ้าง ซึ่งถ้าอยากได้ลำโพงที่เสียงดังกว่านี้คงต้องดูเป็น Marshall Kilburn III แทน
เราบันทึกเสียงตัวอย่างมาให้ฟังเทียบระหว่าง Emberton II กับ Middleton II นะครับ แนะนำให้ใส่หูฟังฟัง แต่อยากย้ำว่าตัวอย่างเสียงก็ไม่ได้ถ่ายทอดสิ่งที่หูได้ยินจากลำโพงโดยตรงได้ 100% นะครับ โดยเสียงแรกเป็นของ Middleton II และเสียงถัดมาคือ Emberton II ครับ
เมื่อเทียบเสียงกับ Emberton II จากที่คิดว่าเป็นลำโพงเล็กที่ให้เบสได้ดีแล้ว พอข้ามมาเป็น Middleton II จะรู้สึกว่าเสียงหนักแน่นกว่าชัดเจน ให้เบสกระพือได้ถึงตัว ส่วนเสียงกลาง-สูง Emberton II จะให้เสียงลักษณะฟุ้งกว่า ไม่ได้มีน้ำมีนวล สรุปคือเสียงของ Middleton II มีลักษณะ Full-Body มากกว่าตามขนาดตัวนั่นเอง

Marshall Middleton II เปิดตัวด้วยราคา 12,990 บาท ซึ่งเป็นราคาเดียวกับ Middleton ตัวแรก แต่ปรับปรุงจากรุ่นแรกหลายด้าน ทั้งแบตเตอรี่ที่อึดขึ้น เสียงร้องที่จูนให้สว่างขึ้น รวมถึงเพิ่มไมค์ เพิ่มการรองรับ Auracast ซึ่งรองรับอนาคตได้ดีกว่า ใครจะซื้อใหม่ ซื้อรุ่น 2 ไปเลยครับ แต่ถ้าใครมีรุ่นแรกอยู่แล้ว เราว่ามันไม่ได้ต่างกันมากขนาดควรอัปเกรดนะ
ส่วนถ้าเทียบกับ Marshall Emberton III ที่ราคา 7,690 บาท อันนี้ตัดสินใจง่ายนะครับ คือ Emberton ถูกกว่าเกือบครึ่ง เล็กกว่า เบากว่ากิโลหนึ่ง ถ้าใครเป็นสายพกพาหรืองบไม่เยอะ Emberton ก็เป็นตัวเลือกที่ดี แต่ถ้าใครอยากได้คุณภาพเสียงที่ดีกว่าจริง ๆ และไม่ติดเรื่องขนาดกับราคา ก็จัด Middleton II ไปได้เลยครับ





