
ตลอดระยะเวลา 8 ปีนับตั้งแต่เปิดดำเนินการ สถาบันรามาธิบดีจักรีนฤบดินทร์ได้ก้าวข้ามจากจุดเริ่มต้นในฐานะสถานพยาบาลระดับปฐมภูมิและทุติยภูมิ สู่การเป็นศูนย์การแพทย์ระดับตติยภูมิที่พร้อมดูแลผู้ป่วยโรคซับซ้อนอย่างครบวงจร ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกว่า 200 คน ครอบคลุมแทบทุกสาขาเฉพาะทาง
สะท้อนวิสัยทัศน์ด้านคุณภาพ ความปลอดภัย รวมถึงยังมีบทบาทสำคัญในการผลิตบุคลากรทางการแพทย์ของประเทศด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง พร้อมมุ่งสู่ศูนย์นวัตกรรมการแพทย์และการวิจัยในระดับภูมิภาค

ในช่วงเริ่มต้น โรงพยาบาลรามาธิบดีจักรีนฤบดินทร์มุ่งให้บริการประชาชนในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการเป็นหลัก ด้วยขนาด 400 เตียง เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการทางการแพทย์โดยไม่ต้องเดินทางเข้าไปในใจกลางเมือง ซึ่งโรงพยาบาลรามาธิบดี ตรงพระราม 6 นั้นมีข้อจำกัดด้านพื้นที่ไม่สามารถขยายได้แล้ว ทั้งด้านการรองรับผู้ป่วยและการเรียนการสอนของนักศึกษาแพทย์
เมื่อศักยภาพและบุคลากรเพิ่มขึ้น โรงพยาบาลได้ขยับสู่การเป็นศูนย์การแพทย์ตติยภูมิอย่างเต็มตัว มีแพทย์ประจำกว่า 200 คน ครอบคลุมสาขาเชี่ยวชาญทั้งหมด สามารถดูแลผู้ป่วยโรคซับซ้อน เช่น ผ่าตัดหัวใจและผ่าตัดสมอง รวมถึงจัดตั้งหอผู้ป่วยหนัก (ICU) สำหรับทั้งผู้ใหญ่ เด็ก และ NICU ขนาดใหญ่ รองรับทารกคลอดก่อนกำหนดที่มีน้ำหนักน้อยกว่า 1,000 กรัม เพื่อช่วยรองรับความต้องการของจังหวัดที่ยังมีบุคลากรเฉพาะทางจำกัด

ทางโรงพยาบาลได้ขยายบริการทางการแพทย์อย่างครอบคลุม เพื่อให้สอดรับกับความต้องการของผู้ป่วยในทุกมิติ
หนึ่งในผลงานเด่นของโรงพยาบาลคือ ความสำเร็จในการรับมือการระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งต้องอาศัยความพร้อมด้านโครงสร้าง บุคลากร และมาตรฐานความปลอดภัยระดับสูง เริ่มตั้งแต่จัดสรรอาคารทั้งหลังเป็นพื้นที่ดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการรุนแรง เพื่อลดการปนเปื้อนกับผู้ป่วยทั่วไป
ระดมบุคลากรจากทั้งสองโรงพยาบาลในสังกัดรามาธิบดีมาปฏิบัติหน้าที่ร่วมกัน คงไว้ซึ่งการใช้อุปกรณ์ที่ผ่านกระบวนการทำให้ปลอดเชื้อตามมาตรฐาน แม้ช่วงที่อุปกรณ์ใช้แล้วทิ้งมีความต้องการสูง ผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง คือ บุคลากรในหน่วยงาน CSSD ไม่พบการติดเชื้อจากการปฏิบัติงานแม้แต่รายเดียว
ปัจจุบันสถาบันฯ ได้ก้าวสู่ ศูนย์รวมนวัตกรรมการศึกษาและการรักษา อย่างครบวงจร ในปี 2567 รองรับผู้ป่วยนอกกว่า 341,000 ราย ผู้ป่วยฉุกเฉิน 16,462 ราย และผู้ป่วยใน 10,813 ราย
อีกหนึ่งบทบาทสำคัญของสถาบันฯ รามาธิบดีจักรีนฤบดินทร์เป็นกำลังสำคัญในการผลิตบุคลากรทางการแพทย์รุ่นใหม่ ถือเป็นสถานที่เรียนหลักของนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 2–3 ของคณะแพทย์ศาสตร์ ม.มหิดล ส่วนชั้นปีที่ 4–5 จะแบ่งสลับมาเรียนที่นี่ราว 50% พร้อมรองรับนักศึกษาจากหลายหลักสูตรในสายวิทยาศาสตร์สุขภาพ นอกจากนี้ภายในโรงพยาบาลยังมีศูนย์การเรียนรู้ที่ทันสมัยสำหรับฝึกทักษะด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง ได้แก่
ศูนย์การเรียนรู้ด้านกายวิภาคแบบครบวงจร สำหรับนักศึกษาแพทย์ช่วงพรีคลินิก ด้วยการใช้ร่างอาจารย์ใหญ่แบบดั้งเดิมและแบบนิ่มสำหรับฝึกผ่าตัด

หนึ่งในจุดเด่นของโรงพยาบาลคือ นวัตกรรมร่างซอฟท์ (Soft Cadaver) ซึ่งมีใช้จริงเพียงไม่กี่แห่งในประเทศไทย โดยเป็นอาจารย์ใหญ่ที่ถูกเก็บรักษาให้มีเนื้อเยื่อนุ่ม สามารถขยับแขนขาได้ใกล้เคียงกับร่างกายจริง ช่วยให้ใช้ในการเรียนการสอน ทำวิจัย และฝึกหัตถการอย่างปลอดภัย เทคนิคนี้เหมาะสำหรับการฝึกเฉพาะทาง เช่น ผ่าตัดผ่านกล้อง การเย็บ-ตัดเนื้อเยื่อ การสวนหลอดเลือด และหัตถการที่ซับซ้อนอื่น ๆ ซึ่งช่วยลดความผิดพลาดเมื่อต้องปฏิบัติกับผู้ป่วยจริง และเอื้อต่อการต่อยอดความรู้ พัฒนาเทคนิคใหม่ และนวัตกรรมการรักษารูปแบบใหม่ ๆ
มีการผสานเทคโนโลยี VR ในการเรียนการสอน เพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ เช่น VR กายวิภาคสามมิติ เพื่อสำรวจโครงสร้างร่างกายเชิงลึก มีการเรียบนการสอนผ่านห้องผ่าตัดจำลอง (Hybrid OR) สำหรับฝึกผ่าตัดเคสที่มีความซับซ้อนแบบเสมือนจริง รวมถึงมีระบบ Live teaching และ Remote Learning เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา

แน่นอนว่าทฤษฎีกับการรักษาจริงนั้น บางครั้งก็มีปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ที่ส่งผลให้ต้องใช้วิธีการรักษาที่ต่างกัน เพื่อให้นักศึกษารับมือกับสถานการณ์ที่หลากหลาย จึงเกิดเป็น ศูนยืการเรียนรู้ทักษะทางการแพทย์เสมือนจริงรามาธิบดี (RASAMEE) ที่ได้การรับรองมาตรฐานระดับสากล
เป้าหมายหลักคือ เตรียมความพร้อมให้บุคลากรทางการแพทย์มีความรู้ความเข้าใจ พร้อมรับมือทุกสถานการณ์ที่ใกล้เคียงของจริงมากที่สุด ด้วยการฝึกกับหุ่นจำลองที่สมจริง มีเสียงโต้ตอบ มีสัญญาณชีพและอาการทางคลินิกเหมือนมนุษย์ ปรับแต่งสถานการณ์ต่างๆ ได้ยืดหยุ่น ตั้งแต่ภาวะหัวใจหยุดเต้น การทำคลอด การดูแลทารกแรกเกิด พร้อมระบบควบคุมและสังเกตการณ์แบบ Realtime เพื่อให้อาจารย์หมอประเมินและให้คำแนะนำได้ตรงจุด

นอกจากนั้นยังใช้จำลองสถานการณ์แบบทีมสหสาขาวิชาชีพ เพื่อช่วยให้แพทย์ พยาบาล และนักกู้ภัยฉุกเฉินฝึกซ้อมก่อนเจอเหตุการณ์จริง
สถาบันยึดหลักความปลอดภัยในสามมิติ ได้แก่ ผู้ป่วย บุคลากร และสิ่งแวดล้อม โดยบุคลากรในพื้นที่เสี่ยง เช่น CSSD สวมอุปกรณ์ป้องกันครบถ้วนตามมาตรฐาน ส่วนเครื่องมือแพทย์ผ่านกระบวนการทำให้ปลอดเชื้อตามมาตรฐานสากลเพื่อลดความเสี่ยงต่อผู้ป่วย ด้วยการใช้เทคโนโลยีและระบบการทำงานที่ทันสมัยช่วยเพิ่มความปลอดภัยในทุกด้าน

ไม่ว่าจะเป็นระบบอัตโนมัติที่ทันสมัยที่สุด ออกแบบตามมาตรฐานสากล เพื่อยกระดับความปลอดภัยตั้งแต่ต้นน้ำ ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาดเครื่องมือแพทย์และเครื่องมือผ่าตัด ภายในห้องปลอดเชื้ออย่างเป็นระบบ
การบรรจุหีบห่อและฆ่าเชื้อโรคตามมาตรฐานสากล จัดเก็บและติดตามเครื่องมือแพทย์ด้วย QR Code/Barcode มีการใช้เครื่องล้างและแครื่องนึ่งฆ๋าเชื้อโรคอัตโนมัติ รับส่งอุปกรณืเข้าออกอัตโนมัติ โดยที่เจ้าหน้าที่ไม่ต้องสัมผัสอุปกรณ์ ลดการสัมผัสความร้อน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและความปลอดภัยให้เจ้าหน้าที่

ด้านสิ่งแวดล้อมนั้นมีครบทั้งการเลือกใช้ระบบทำลายเชื้อโรคที่ไม่มีสารอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม ระบบบำบัดน้ำเสีย การใช้น้ำยาฆ๋าเชื้อที่ไม่ทำลายธรรมชาติ
ทั้งหมดนี้ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของสถาบันฯ ที่เดินหน้าพัฒนาความเชี่ยวชาญ ผลักดันงานวิจัย พร้อมสร้างความร่วมมือระดับภูมิภาคเพื่อให้กลายเป็รศูนยืกลางทางการแพทยืและงานวิจัยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ควบคู่กับการกระจายความรู้ นวัตกรรมและบริการทางการแพทย์ให้เข้าถึงประชาชนได้อย่างทั่วถึง
สำหรับคนที่สนใจบริจาคร่างกายหรือสบทมทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้ สามารถบริจาคได้ที่ มูลนิธิรามาธิบดีฯ www.ramafoundation.co.th





