สังคมไทยยังคงเผชิญกับวัฏจักรที่วนเวียนแบบเดิม รอให้รอให้ภัยพิบัติเกิดขึ้นก่อนจึงเร่งแก้ปัญหา นับตั้งแต่เหตุการณ์สึนามิ กราดยิงพารากอน จนมาถึงแผ่นดินไหวส่งผลให้อาคารถล่ม เราแทบไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งการแจ้งเตือนให้คนในพื้นที่รู้ จนไปถึงลงทุนเตรียมความพร้อมล่วงหน้าเพื่อรับมือเหตุการณ์ฉุกเฉินที่เกิดขึ้น เรายังเผชิญปัญหาแบบเดิม ไล่แก้ปัญาหาวนอยู่อย่างนั้น อาจด้วยข้อจำกัดกรอบกฎหมายที่ล้าสมัย ผู้นำที่ขาดวิสัยทัศน์เชิงรุกในการพัฒนาเทคโนโลยีกู้ภัย ทำให้ประเทศไทยยังคงต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากต่างประเทศ เมื่อมีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น กฎระเบียบ: อุปสรรคต่อการสร้างนวัตกรรมเพื่อชีวิต ข้อจำกัดด้านกฎหมายกลายเป็นกำแพงสูงสำหรับนักพัฒนา ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น โดรนซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการสำรวจพื้นที่ประสบภัยจากมุมสูงได้อย่างรวดเร็ว กลับถูกควบคุมอย่างเข้มงวด แม้จะใช้ในภารกิจเร่งด่วนเพื่อช่วยชีวิตก็ยังต้องขออนุญาต ส่งผลให้สตาร์ทอัพไทยหลายรายไม่สามารถทดสอบหรือพัฒนานวัตกรรมในสถานการณ์จริงได้ ลองคิดเล่น ๆ หากตอนนั้นมีบริการเช่า “สกู๊ตเตอร์” ฉุกเฉินเพื่อเข้าถึงพื้นที่หรือเคลื่อนย้ายอุปกรณ์เบา เราอาจมีทางเลือกมากกว่าการรอความช่วยเหลือจากศูนย์กลาง ปฏิบัติการช่วยเหลือที่อาคาร สตง.: