ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การซื้อของแบบ “Buy Now, Pay Later” หรือ BNPL กลายเป็นบริการที่ได้รับความนิยมที่ให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าหรือเป็นเจ้าของได้ทันทีแล้วผ่อนจ่ายภายหลัง จุดเด่นคือดอกเบี้ยต่ำและไม่มีการตรวจเครดิตที่เข้มงวดมากนัก หากใช้พอเหมาะอาจสะดวกสบาย แต่หากบริการนี้เติบโตโดยปราศจากการควบคุมก็อาจทำให้เกิดฟองสบู่หนี้จนกลายเป็นวิกฤตทางการเงินได้
เสน่ห์ที่สำคัญของ Pay Later คือทำให้ผู้บริโภคเป็นเจ้าของสินค้าที่แสนแพง ทำให้เข้าถึงได้ง่ายและไม่มีความซับซ้อน แตกต่างจากบัตรเครดิตที่ต้องตรวจสอบเครดิตอย่างละเอียดและมีความแข้มงวดมากกว่า งานวิจัยของ Harvard Business School ชี้ว่า ทางเลือกแบบ BNPL ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้ามากขึ้นและมีความถี่ที่บ่อยครั้งกว่าเดิม เนื่องจากตัวเองรู้สึกว่าภาระถูกแบ่งเบากว่าการจ่ายก้อนใหญ่ก้อนเดียว อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือช่วยให้ผู้ที่ไม่สามารถขอสินเชื่อธนาคารสามารถเข้าถึงการซื้อสินค้าในระบบดิจิทัล ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซทั่วโลกเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่า BNPL ทำให้ผู้บริโภคสามารถจับจ่ายสินค้าไม่ว่าจะราคาต่ำหรือแพงได้ง่ายขึ้น แต่ก็แฝงไปด้วยความเสี่ยงที่ผู้บริโภคอาจไม่รู้ตัวได้ โดยเฉพาะผู้บริโภคที่ไม่เข้าใจเงื่อนไข BNPL อย่างแท้จริง เช่น ค่าธรรมเนียมกรณีจ่ายช้า หรือผลกระทบต่อเครดิต ทำให้ตัดสินใจอย่างไม่รอบคอบ
นอกจาก BNPL ไม่ได้มีการตรวจสอบเครดิตที่เข้มงวดมากแล้ว ผู้ให้บริการ BNPL ส่วนใหญ่ไม่รายงานข้อมูลการชำระหนี้ต่อเครดิตบูโร ทำให้ธนาคารและผู้ปล่อยกู้รายอื่นมองไม่เห็นภาพรวมที่แท้จริงของสถานการณ์ ความไม่โปร่งใสนี้อาจนำไปสู่ความผิดพลาดในการประเมินความเสี่ยงด้านการเงินได้
ที่น่ากลัวที่สุดคือผู้ใช้งานที่ใช้บริการ BNPL พร้อมกันหลายเจ้าทั้งในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซและผู้ให้บริการรายอื่น (ยังไม่นับรวมกู้ยืมนอกระบบอีก) รายงานของ Consumer Financial Protection Bureau (CFPB) ระบุว่าผู้ใช้งานมากกว่า 40% มีบัญชี BNPL มากกว่า 1 แพลตฟอร์ม ส่งผลให้ความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้มีสูงขึ้นไปอีก
ทั้งหมดนี้เพราะผู้บริให้บริการ BNPL ไม่ได้ถูกกำกับหรือควบคุมการให้บริการอย่างเข้มงวดเหมือนกับธนาคาร แต่กลับมีขนาดตลาดที่โตอย่างก้าวกระโดด หากเกิดปัญหาหนี้เสียพร้อมกัน อาจกระทบต่อผู้ให้กู้รายใหญ่ นักลงทุน และระบบการเงินโดยรวมเหมือนที่เคยเกิดวิกฤติซับไพรม์ในสหรัฐฯ
ในช่วงปี 2007–2008 สหรัฐอเมริกาประสบกับวิกฤตซับไพรม์ ซึ่งเริ่มต้นจากการปล่อยกู้ซื้อบ้านให้กับผู้กู้ที่มีความเสี่ยงสูง หรือที่เรียกว่า Subprime borrowers สถาบันการเงินเชื่อว่าราคาบ้านจะปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงแข่งขันกันปล่อยกู้โดยไม่คำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ อีกทั้งยังมีการใช้สินเชื่อแบบดอกเบี้ยลอยตัว ทำให้เมื่อธนาคารกลางสหรัฐปรับขึ้นดอกเบี้ย ภาระการผ่อนบ้านก็เพิ่มสูงจนผู้กู้จำนวนมากไม่สามารถชำระได้ เมื่อมีการผิดนัดชำระหนี้ในวงกว้าง บ้านก็ถูกยึดและขายทอดตลาด ราคาบ้านที่เคยพุ่งสูงจึงตกลงอย่างรุนแรงจนเกิดภาวะฟองสบู่แตกในตลาดอสังหาริมทรัพย์
ผลกระทบไม่ได้หยุดแค่ครัวเรือน เพราะสถาบันการเงินได้แปลงสินเชื่อบ้านเหล่านี้ไปเป็นหลักทรัพย์ที่เรียกว่า Mortgage-Backed Securities (MBS) และ Collateralized Debt Obligations (CDO) เพื่อขายให้นักลงทุนทั่วโลก เมื่อผู้กู้ผิดนัดชำระ มูลค่าหลักทรัพย์เหล่านี้ก็ร่วงลงอย่างหนัก ทำให้ธนาคารใหญ่หลายแห่งขาดสภาพคล่องและบางแห่งถึงขั้นล้มละลาย เช่น Lehman Brothers ในปี 2008 วิกฤตนี้ลุกลามไปทั่วโลก สร้างความเสียหายต่อระบบการเงิน การลงทุน และเศรษฐกิจมหภาค จนถูกจดจำว่าเป็นหนึ่งในวิกฤตการเงินครั้งใหญ่ที่สุดนับจาก Great Depression
ในสหรัฐอเมริกา มีการใช้ BNPL อย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคที่มีรายได้น้อยหรือมีเครดิตไม่ดี โดย 25% ของผู้ใช้งาน BNPL ในสหรัฐฯ ใช้บริการนี้เพื่อซื้อของชำ ซึ่งสะท้อนถึงความยากลำบากในการจัดการการเงินในแต่ละวัน ผู้ใช้ BNPL จำนวนมากรายงานว่ามีความเครียดจากการชำระหนี้ โดย 40% มีอาการนอนไม่หลับ หรือหลีกเลี่ยงการติดต่อกับเจ้าหนี้ ในปี 2024 มูลค่าการใช้จ่ายผ่าน BNPL ในสหรัฐฯ สูงถึง 82,400 ล้านเหรียญ และมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เป็นประเทศที่ได้รับความนิยมในการใช้งาน BNPL ที่สูงเช่นเดียวกัน แต่เนื่องจากความเข้มงวดที่ไม่สูง ผู้ใช้งาน BNPL หลายคนรายงานว่าไม่ได้รับข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายหรือเงื่อนไขการชำระหนี้ ซึ่งทำให้เกิดความเข้าใจผิดและกลายเป็นปัญหาหนี้สินตามมา
ในสหราชอาณาจักรเองก็มีปัญหาเรื่องความเข้มงวดในการกำกับดูแล BNPL เช่นเดียวกัน กลุ่มผู้บริโภคได้เตือนรัฐบาลสหราชอาณาจักรว่าไม่ควรใช้ระบบการกำกับดูแลแบบออสเตรเลีย เนื่องจากรูปแบบการกำกับดูแลแบบออสเตรเลียไม่สามารถป้องกันความเสียหายจากการใช้ BNPL ได้อย่างดีพอ
BNPL หรือ Pay Later เป็นบริการที่เป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยงในเวลาเดียวกัน มันช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าได้ง่าย แต่ก็ก่อให้เกิด หนี้สะสม, ความไม่โปร่งใสของข้อมูลเครดิต, และความเสี่ยงหนี้เสียเชิงระบบ หากไม่มีมาตรการควบคุมที่เหมาะสม ปัญหานี้อาจขยายจนกระทบต่อเสถียรภาพของระบบการเงินคล้ายวิกฤติซับไพรม์ข้างต้นได้
ที่มา Apnews, TechScience, Investopedia ภาพจาก 1 2