
จีนเป็นประเทศที่ครองตลาดแรร์เอิร์ธมากกว่า 80% ของการผลิตทั่วโลก ทำให้ชาติมหาอำนาจตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา พยายามหาทางกระจายความเสี่ยงและลดการพึ่งพาจีน ด้วยเหตุนี้ การที่ประเทศไทยได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ด้านความร่วมมือแร่แรร์เอิร์ธกับสหรัฐฯ จึงถือเป็นก้าวสำคัญในเวทีเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์โลก
แร่แรร์เอิร์ธ (Rare Earth Elements: REEs) คือกลุ่มแร่ธาตุหายากจำนวน 17 ชนิด อย่าง แลนทานัม ซีเรียม นีโอดีเมียม และเทอร์เบียม ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษทางแม่เหล็ก การเรืองแสง และการนำไฟฟ้าที่สูงมาก แร่เหล่านี้จึงเป็นหัวใจสำคัญของเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตั้งแต่สมาร์ตโฟน คอมพิวเตอร์ รถยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงระบบอาวุธยุทโธปกรณ์ขั้นสูงของกองทัพโลก กล่าวได้ว่าแรร์เอิร์ธคือน้ำมันแห่งยุคดิจิทัลที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยุคใหม่อย่างแท้จริง
จีนถือครองแหล่งแรร์เอิร์ธมากที่สุดในโลก โดยมีปริมาณสำรองถึง 44 ล้านตันจากทั้งหมด 110 ล้านตันทั่วโลก นอกจากนี้ จีนยังควบคุมกระบวนการกลั่นและการผลิตแม่เหล็กที่ใช้ในเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งทำให้หลายประเทศต้องพึ่งพาจีนในการจัดหาวัตถุดิบเหล่านี้ เมื่อจีนเริ่มมีการควบคุมการส่งออกแรร์เอิร์ธโดยอ้างถึงเหตุผลด้านความมั่นคงทางชาติ หลายประเทศเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของแร่เหล่านี้และพยายามหาทางลดการพึ่งพาจีน อย่าง สหรัฐอเมริกาและออสเตรเลียได้ลงนามในข้อตกลงมูลค่า 13,000 ล้านเหรียญ เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมแรร์เอิร์ธภายในประเทศ โดยเน้นการผลิตแร่ที่จำเป็นต่อเทคโนโลยีสะอาดและการป้องกันประเทศ
การเซ็น MOU ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ เกี่ยวกับแร่แรร์เอิร์ธ ไม่ใช่เพียงการร่วมมือด้านเหมืองแร่ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของยุทธศาสตร์ใหม่ ที่อาจกำหนดทิศทางเศรษฐกิจและอำนาจต่อรองของไทยในเวทีโลกในอนาคต หากบริหารจัดการอย่างมีวิสัยทัศน์ แร่แรร์เอิร์ธอาจกลายเป็นขุมทรัพย์ยุทธศาสตร์ที่ช่วยยกระดับประเทศไปสู่เศรษฐกิจเทคโนโลยีขั้นสูงอย่างยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม ไทยต้องวางกรอบการบริหารจัดการอย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนท้องถิ่น เพราะกระบวนการสกัดแรร์เอิร์ธอาจก่อให้เกิดของเสียและสารพิษ หากขาดมาตรการกำกับดูแลที่เข้มงวด
ที่มา Nasdaq, The Guardian ภาพจาก Souwieon





