ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลกดิจิทัลและ AI คำถามสำคัญคือ “ใครจะเป็นเจ้าของอนาคต AI?” และสำหรับประเทศไทยแล้ว เราควรจะมี “อธิปไตย AI (Sovereign AI)” ในรูปแบบใด บทความนี้สรุปประเด็นสำคัญจากการเสวนา Sovereign AI: Who Owns the Future of Intelligence ในงาน KBTG Techtopia ซึ่งได้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญจากสามองค์กรหลักด้าน AI ของประเทศมาให้มุมมองเชิงลึก ได้แก่
แนวคิดของ Sovereign AI หรือ อธิปไตย AI คือเราไม่ได้เป็นแค่ ผู้ใช้งานเทคโนโลยี AI ที่พัฒนาโดยต่างชาติเท่านั้น แต่เป็นการมีโอกาสเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่อุปทานของการพัฒนาหรือการผลิต AI ด้วยตัวเราเอง ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าเราไม่จำเป็นต้องควบคุมทุกส่วนของเส้นทางเทคโนโลยี แต่ควรเน้นที่จุดสำคัญที่เราสามารถควบคุมได้ เช่น ข้อมูล, เครื่องมือ AI, กฎหมายกำกับดูแล ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐานอย่างฮาร์ดแวร์ นี่คือการสร้างสมดุลระหว่างการใช้เทคโนโลยีระดับโลกและการพัฒนาเทคโนโลยีของเราเองเพื่อไม่ให้เราต้องเริ่มจากศูนย์หากเกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน
การมี Sovereign AI เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับประเทศไทยด้วยเหตุผลหลายประการ ดังนี้:
ความมั่นคงของชาติ (National Security): การพึ่งพาเทคโนโลยี AI จากต่างชาติทั้งหมดอาจก่อให้เกิดความเสี่ยง หากวันหนึ่งเราไม่สามารถเข้าถึงบริการเหล่านั้นได้ ประเทศไทยต้องมีตัวตนใน Digital Space ไม่ใช่แค่ในเชิงภูมิศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับหน่วยงานภาครัฐที่ดูแลข้อมูลสำคัญของประชาชน เช่น กรมสรรพากร, ศาลยุติธรรม และรัฐสภา ซึ่งหากข้อมูลเหล่านี้ไปตกอยู่ในแพลตฟอร์มที่เราควบคุมไม่ได้ ก็อาจกระทบต่ออธิปไตยของประเทศได้
ความสามารถในการแข่งขันและความเป็นเอกลักษณ์ (Competitiveness and Uniqueness): การรักษาความสามารถในการแข่งขันและความเป็นเอกลักษณ์ของชาติเป็นสิ่งจำเป็น AI สามารถช่วยเสริมสร้างสิ่งเหล่านี้ได้ โดยเฉพาะในภาคส่วนที่มีเอกลักษณ์ของไทย เช่น การเกษตร (สมุนไพรไทย), การแพทย์ และการเงิน หากปราศจากการควบคุมเทคโนโลยี AI อาจทำให้ความได้เปรียบและความเป็นไทยหายไป
บริการสาธารณะ (Public Services): การให้บริการภาครัฐที่ใช้ AI จำเป็นต้องมีการควบคุมการใช้ AI และข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างเพียงพอ เพื่อให้สามารถบริหารจัดการประเทศต่อไปได้
เสาหลักของยุทธศาสตร์อธิปไตย AI ของไทย
แผนยุทธศาสตร์ AI แห่งชาติ ได้ให้ความสำคัญกับ 3 เสาหลักในการขับเคลื่อนอธิปไตย AI โดยมุ่งเน้นทั้งการสร้างความพร้อม (readiness) และการนำไปปรับใช้ (adoption):
การสร้างความพร้อม (Readiness):
บุคลากร: การพัฒนาบุคลากรให้เพียงพอ ทั้งผู้ใช้งาน AI, นักนวัตกรรมที่สามารถสร้างแอปพลิเคชัน AI และวิศวกร AI
โครงสร้างพื้นฐาน Sovereign AI: การมีโครงสร้างพื้นฐานแบบ Open Source และ National Data Bank ที่เป็นของไทย ควบคู่ไปกับการใช้เทคโนโลยีระดับโลก
การกำกับดูแล (Governance) และ Sandbox: การสร้างกรอบกำกับดูแลที่เหมาะสมและ Sandbox สำหรับการทดลอง เพื่อให้การพัฒนา AI เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง
ข้อมูลคือเส้นเลือดของ AI: การควบคุมข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก เพราะหากไม่มีข้อมูล AI ก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ การควบคุมข้อมูลยังรวมถึงเครือข่าย IoT และมาตรฐานข้อมูล
National Data Bank (NDB) และ Data Integration and Intelligence (D2I): สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (BDI) กำลังพัฒนาแพลตฟอร์มเหล่านี้เพื่อรวบรวมข้อมูลไทยที่มีความหลากหลายและบริบทเฉพาะ (เช่น ภาษาไทย, ภาพถ่ายทางการแพทย์, กฎหมาย, ภาษาถิ่น)
NDB จะช่วยลดต้นทุนการพัฒนา AI สำหรับสตาร์ทอัพโดยการเปิดให้เข้าถึงข้อมูล
D2I จะเชื่อมโยงข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐเพื่อการวิเคราะห์ โดยที่ภาครัฐยังคงควบคุมข้อมูลได้ การมีข้อมูลไทยที่หลากหลายและครอบคลุมจะทำให้การพัฒนา AI ของไทยมีประสิทธิภาพและเข้าใจบริบทคนไทยได้ดีกว่า AI จากต่างชาติ
การกำกับดูแลและมาตรฐาน (Governance and Standards):
บทบาทของ ETDA: สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) มีบทบาทสำคัญในการกำหนดมาตรฐาน, ความปลอดภัย, ความโปร่งใส และการคุ้มครองข้อมูล รวมถึง AI Governance ETDA ได้พัฒนาศูนย์ AI Governance Center (AIGC) ที่มีแนวปฏิบัติ, แบบทดสอบ และการประเมินต่างๆ เพื่อช่วยให้หน่วยงานต่างๆ สามารถประเมินความพร้อมในการใช้ AI ได้
การทดสอบและการสร้างความเชื่อมั่น: เครื่องมือทดสอบมีความจำเป็นเพื่อสร้างความมั่นใจว่าข้อมูลที่ใช้ฝึกฝน AI ครบถ้วนและเป็นตัวแทนของประชากรที่จะใช้งานอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม การทดสอบช่วยให้มั่นใจว่า AI ทำงานได้ตามที่คาดหวังและใช้งานอย่างมีธรรมาภิบาล
การพัฒนาเทคโนโลยี AI ภายในประเทศ (Local AI Technology Development):
GovTech ในฐานะผู้ริเริ่ม: ภาครัฐสามารถเป็นผู้ริเริ่ม (initiator) หรือ “ลูกค้าคนแรก” (first customer) สำหรับการพัฒนา AI โดยเฉพาะในโครงการที่ภาคเอกชนยังไม่เห็นผลตอบแทนที่ชัดเจน เช่น โครงการ Trappy for BMA หรือ Medical AI ที่ NECTEC ได้เริ่มพูดคุยกับโรงพยาบาลต่างๆ เพื่อรวบรวมข้อมูลภาพทางการแพทย์ การพัฒนาเหล่านี้มุ่งเน้นการเป็น Open Source, Open Standard และ Open Data เพื่อให้เกิดการต่อยอดได้ง่าย
บทบาทของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
การขับเคลื่อน Sovereign AI ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน:
ภาคเอกชนและสตาร์ทอัพ: มีบทบาทสำคัญในการนำนวัตกรรม AI ไปปรับใช้, ขยายผล และสร้างมูลค่าเพิ่ม ภาคเอกชนต้องมีความอดทนและพร้อมที่จะร่วมมือกับภาครัฐในระยะยาว ปัจจุบันมี National AI Consortium ที่นำโดยภาคเอกชนมาช่วยกำหนดทิศทางแผน AI แห่งชาติร่วมกับภาครัฐ
ประชาชน: ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล และตระหนักถึงการพึ่งพาบริการ AI เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวและความมั่นคงของตนเอง
วิสัยทัศน์และอนาคตของไทยในยุค AI
ประเทศไทยมีวิสัยทัศน์ที่จะเป็น ผู้นำด้าน AI ในอาเซียน โดยมีศักยภาพและความได้เปรียบในบางภาคส่วน เช่น การแพทย์ (Medical AI): ด้วยโรงพยาบาลวิจัยขนาดใหญ่และกรณีศึกษาจำนวนมาก ทำให้ไทยมีข้อมูลทางการแพทย์ที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งสามารถนำมาใช้พัฒนา AI ได้, การเงิน (Finance): ภาคการเงินของไทยมีความแข็งแกร่งและเริ่มมีการนำ AI มาใช้แล้ว, การเกษตร (Agriculture): การใช้ AI ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรไทยที่มีความหลากหลายสูง
สร้างอนาคต AI ที่ยั่งยืนร่วมกัน
การสร้างอธิปไตย AI ของไทยไม่ใช่การสร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่ทั้งหมด แต่เป็นการสร้างความมั่นคงด้านข้อมูล, โครงสร้างพื้นฐาน, บุคลากร และระบบกำกับดูแลที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศ สิ่งนี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากภาครัฐ, ภาคเอกชน และประชาชน เพื่อกำหนดอนาคต AI ของประเทศให้มั่นคงและยั่งยืน ถึงแม้เราอาจจะไม่สามารถเทียบเท่ากับประเทศที่พัฒนาไปไกลได้ในทุกด้าน แต่การเตรียมพร้อมและการลงทุนในจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญจะทำให้เราไม่เริ่มต้นจากศูนย์หากเกิดวิกฤต และสามารถเติบโตไปพร้อมกับเทคโนโลยีได้