ไฮเออร์ กรุ๊ป (Haier Group) ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้ารายใหญ่จากจีนที่ขายผลิตภัณฑ์ไปทั่วโลก ประกาศก้าวสำคัญด้านการลงทุนในประเทศไทย ด้วยการจัดพิธีเปิดโรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศแห่งใหม่ ณ นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 3 (WHA ESIE 3) จังหวัดชลบุรี ซึ่งนับเป็น “เมกะโปรเจกต์หมื่นล้าน” สู่การเป็นฐานหลักเครื่องใช้ไฟฟ้าในอาเซียน
โรงงานแห่งนี้มีมูลค่าการลงทุนกว่า 10,000 ล้านบาท บนพื้นที่กว่า 324,000 ตารางเมตร ออกแบบภายใต้แนวคิด Smart, Green, Sustainable และใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะ (Smart Manufacturing)
โรงงานแห่งใหม่นี้มีกำลังการผลิตสูงสุดกว่า 6 ล้านเครื่องต่อปี เป็นฐานการผลิตเครื่องปรับอากาศที่ใหญ่ที่สุดของสินค้าแบรนด์จีนในอาเซียน และเป็นโรงงานที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของกลุ่มไฮเออร์ ส่วนโรงงานผลิตแอร์เดิมของไฮเออร์ที่กบินทร์บุรีในจังหวัดปราจีนบุรีจะถูกปรับปรุงเป็นโรงงานผลิตตู้เย็นและเครื่องเย็นของไฮเออร์
นายโจว หยุนเจี๋ย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ กรุ๊ป กล่าวว่า การลงทุนครั้งใหญ่นี้ไม่เพียงแต่สะท้อนความเชื่อมั่นของไฮเออร์ต่อเศรษฐกิจไทยเท่านั้น แต่ยังตอกย้ำวิสัยทัศน์ในการยกระดับประเทศไทยให้เป็นฐานการผลิตเชิงยุทธศาสตร์ของอาเซียน ซึ่งเชื่อมโยงครบทั้งห่วงโซ่อุปทาน การผลิต การวิจัยและพัฒนา (R&D) ไปจนถึงการส่งออกสู่ตลาดโลก โครงการนี้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ S-Curve และนโยบาย Thailand 4.0 และยังเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความร่วมมืออันแน่นแฟ้นระหว่างจีนและไทยในด้านการผลิตอัจฉริยะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีที่จีน-ไทยครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูต
ไฮเออร์จะใช้โรงงานนี้ในการ “สร้างต้นแบบความร่วมมือจีน-ไทยบนโครงการ One Belt One Road” โดยโรงงานอุตสาหกรรมในชลบุรีแห่งนี้ได้แสดงให้เห็นถึงการวางแผนเชิงกลยุทธ์ของไฮเออร์ และไทยเป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญของความร่วมมือด้านกำลังการผลิตระหว่างจีน-ไทย ในอนาคต ไฮเออร์มีแผนที่จะส่งออกโซลูชันบ้านอัจฉริยะ จากโรงงานนี้ไปยังผู้ใช้งานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทั่วโลก เพื่อให้ผู้บริโภคได้สัมผัสถึงความสะดวกสบายและการหลอมรวมเทคโนโลยีจีน
การผลิตจะดำเนินไปอย่างเป็นระบบใน 3 เฟส:
รวมแล้ว ไฮเออร์ตั้งเป้าหมาย 3 ปี (2568-2570) จะผลิตเครื่องปรับอากาศรวมกว่า 12.5 ล้านเครื่อง คิดเป็นมูลค่าราว 63,650 ล้านบาท ไฮเออร์ตั้งเป้าหมายยอดขายเครื่องปรับอากาศภายในบ้านในปี 2568 ไว้ที่ 5,500 ล้านบาท และเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์อีก 1,108 ล้านบาท
โรงงานแห่งนี้เน้นการส่งออกไปยังตลาดโลก โดยมีตลาดเป้าหมายหลัก ได้แก่ อาเซียน ตะวันออกกลาง ยุโรป และ อเมริกาเหนือ ซึ่งจากกำลังการผลิตทั้งหมด จะเป็นการผลิตสำหรับตลาดไทยประมาณ 5 แสนเครื่องต่อปี
การเปิดโรงงานแห่งนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างงานให้พนักงานชาวไทยมากกว่า 3,000 คน การพัฒนาโรงงานนี้ใช้เวลาเพียง 9 เดือนในการก่อสร้าง โดยโรงงานได้ถูกออกแบบให้เป็นรูปแบบ Smart Factory ที่ใช้ระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีดิจิทัลขั้นสูง ซึ่งคาดว่าประมาณ 70% ของกระบวนการผลิตจะเป็นระบบอัตโนมัติ (Automate) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุนและคุณภาพ
ชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงความยินดี โดยระบุว่า โครงการนี้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์จากนโยบายความร่วมมือระหว่างสองประเทศ และเป็นผลสะท้อนที่ชัดเจนถึงความสัมพันธ์เชิงรูปธรรมระหว่างจีน-ไทย และได้แสดงความชื่นชมที่ไฮเออร์ยึดมั่นในแนวคิดการพัฒนามาตรฐานคุณภาพสินค้า และการพัฒนาระบบการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ขณะที่ เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ยืนยันว่า ประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชุดใด ก็ยังคงร่วมมือกับกลุ่มบริษัทจากประเทศจีนในการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมของไทยให้มีความทันสมัย สะดวก สะอาด และโปร่งใส พร้อมชี้ให้เห็นว่า ความสำเร็จของไฮเออร์ในการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ระดับโลกมาแลกเปลี่ยนเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมเศรษฐกิจยุคใหม่นี้ ถือเป็นความสำเร็จของประเทศไทยด้วยเช่นกัน
การเปิดโรงงานใหม่นี้จึงไม่เพียงแต่เป็นก้าวสำคัญของกลุ่มไฮเออร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น แต่ยังเป็นการ ตอกย้ำให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะที่สำคัญของอาเซียน