
เมื่อพูดถึง “อวกาศ” หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว หรือเป็นเพียงเรื่องของประเทศมหาอำนาจ แต่ความจริงคือเทคโนโลยีจากอวกาศนั้นเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราอย่างแยกไม่ออก ไม่ว่าจะเป็นระบบนำทาง GPS, การพยากรณ์อากาศ หรือการจัดการภัยพิบัติ วันนี้ประเทศไทยไม่ได้มองแค่การเป็นผู้ใช้งานอีกต่อไป แต่กำลังก้าวไปสู่การเป็นผู้สร้างและผู้ให้บริการผ่านโครงการ “ท่าอวกาศยานไทย” (Thailand Spaceport)

เราได้พูดคุยกับ ดร.ณัฐวัฒน์ หงส์กาญจนกุล ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมเศรษฐกิจอวกาศ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) เพื่อสำรวจความเป็นไปได้ ความจำเป็น และอนาคตของท่าอวกาศยานในประเทศไทย

เราคุ้นเคยกับ “ท่าอากาศยาน” (Airport) อย่างสุวรรณภูมิหรือดอนเมือง แต่ “ท่าอวกาศยาน” (Spaceport) คือจุดเชื่อมต่อระหว่างพื้นโลกกับอวกาศ โดยมุ่งเน้นการส่งวัตถุขึ้นไปที่ความสูงระดับ 100 กิโลเมตรเหนือพื้นดิน ซึ่งถือเป็นเส้นขอบฟ้าหรืออวกาศ, ในขณะที่สนามบินจัดการการเดินทางในชั้นบรรยากาศ ท่าอวกาศยานคือประตูสู่การส่งดาวเทียมและการขนส่งข้ามทวีปในอนาคต
คำถามสำคัญคือ “เรามีไปทำไม?” คำตอบไม่ได้อยู่ที่ความเท่หรือการอวดศักยภาพ แต่อยู่ที่ความมั่นคงและเศรษฐกิจ ซึ่งประโยชน์ของการมี Spaceport ในไทยคือ

จากการศึกษาของ GISTDA ร่วมกับ KPMG พบว่าประเทศไทยมีศักยภาพในการตั้งท่าอวกาศยานได้จริง โดยแบ่งเป็น 2 รูปแบบ และมี 3 พื้นที่เป้าหมาย
การสร้างท่าอวกาศยานต้องใช้เงินลงทุนสูง ประมาณ 300 – 800 ล้านบาทต่อฐานปล่อย แต่ผลการวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจชี้ว่ามีความคุ้มค่าคือคาดการณ์ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ (Economic Return) สูงถึง 26% ถึงกว่า 300% และมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) เป็นบวกอยู่ที่ระดับ 1,000 – 36,000 ล้านบาทขึ้นอยู่กับพื้นที่และขนาดโครงการ
อย่างไรก็ตาม ความคุ้มค่าไม่ได้วัดแค่ตัวเงิน แต่ยังรวมถึงกำไรทางสังคมในการสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชน และการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าประเทศในอีก 5-10 ปีข้างหน้า โดยมีแผนงานคือ

ถึงแม้ว่าโครงการท่าอวกาศยานไทยจะมีผลการศึกษาชี้ว่ามีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและมีความเป็นไปได้ทางเทคนิค แต่การจะทำให้โครงการนี้เกิดขึ้นจริงยังมีอุปสรรคและคอขวดสำคัญหลายประการที่อาจทำให้โครงการต้องชะลอตัว หรือถึงขั้นพับแผนไปได้ หากไม่ได้รับการจัดการที่ถูกต้อง
แน่นอนว่าโครงการใหญ่อย่างท่าอวกาศไทยก็ต้องมีอุปสรรค ซึ่งคณะทำงานก็คาดการณ์ปัญหาเพื่อหาทางออกไว้ตั้งแต่ช่วงวางแผนดังนี้
แม้ไทยจะอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรซึ่งเป็นข้อดี แต่ก็มีความยากตรงทิศทางการปล่อยจรวด เพราะการปล่อยจรวดด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน (Vertical Launch) จำเป็นต้องมีพื้นที่ปลอดภัยสำหรับชิ้นส่วนจรวดที่สลัดทิ้ง (Drop zones) ซึ่งภูมิศาสตร์ของไทยทำให้การส่งจรวดขึ้นสู่วงโคจรทำได้ยาก เพราะทิศทางที่เหมาะสมมักจะพาดผ่านน่านฟ้าหรือดินแดนของประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งในทางปฏิบัติเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมากในแง่ความปลอดภัยและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ซึ่งทางออกที่แก้ปัญหาเรื่องข้อจำกัดของพื้นที่ได้ดีที่สุดคือแทนที่จะยิงจรวดขึ้นจากฐานบนพื้นดินโดยตรง ก็ใช้เครื่องบินพาจรวดหรือยานอวกาศขึ้นไปปล่อยที่ความสูง แล้วจึงยิงออกไป โดยใช้สนามบินนานาชาติอู่ตะเภาเป็นฐาน

ปัจจุบันไทยยังไม่มีเทคโนโลยีจรวดนำส่ง (Launch Vehicle) เป็นของตนเอง ทำให้ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ หรือต้องดึงดูดให้เขามาลงทุน ซึ่งการนำเข้าจรวดและเชื้อเพลิงจากต่างประเทศเข้ามาในไทยมีความซับซ้อนสูงมาก ทั้งเรื่องขนาด น้ำหนัก และกฎระเบียบระหว่างประเทศที่เข้มงวด เช่น ITAR (กฎระเบียบการค้าอาวุธระหว่างประเทศของสหรัฐฯ) ซึ่งควบคุมเทคโนโลยีจรวดอย่างเคร่งครัด ทำให้การขนย้ายข้ามทวีปเป็นเรื่องยากและมีต้นทุนสูง
ทางออกของปัญหานี้มีหลายทาง ตั้งแต่ใช้วิธีเปิดพื้นที่เชิญชวนบริษัทผู้ผลิตจรวดที่มีเทคโนโลยีอยู่แล้ว (ช่น จากเกาหลีใต้, จีน, สหรัฐฯ หรือเอกชน ให้มาตั้งฐานการผลิตหรือฐานปล่อยในประเทศไทย โดยใช้ความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ซึ่งช่วยประหยัดเชื้อเพลิงในการส่งดาวเทียม เป็นตัวดึงดูดให้เขาอยากมาใช้พื้นที่เรา ซึ่งไทยจะได้การจ้างงาน และการถ่ายทอดเทคโนโลยีในเบื้องต้น (เช่น การประกอบ, การผลิตชิ้นส่วน) โดยที่เราไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงในการวิจัยเองทั้งหมด
หรือใช้วิธีซื้อชิ้นส่วนมาประกอบ ที่ไทยสามารถซื้อชิ้นส่วนที่มีความซับซ้อนสูง เช่น “เครื่องยนต์จรวด” จากต่างประเทศ แล้วนำมาออกแบบโครงสร้างและประกอบเป็นจรวดเองในไทย ซึ่งลดเวลาในการวิจัยและพัฒนา และลดความเสี่ยงด้านเทคนิค แต่ก็ยังมีความเสี่ยงเรื่องห่วงโซ่อุปทาน เพราะถ้าเขาเลิกขายให้ เราก็ทำต่อไม่ได้ รวมถึงต้องฝ่าด่านกฎระเบียบระหว่างประเทศในการขนส่งชิ้นส่วนเทคโนโลยีขั้นสูง (เช่น กฎ ITAR)
และทางที่ยากที่สุดคือ สร้างเองตั้งแต่ต้น เป้าหมายสูงสุดเพื่อความยั่งยืน แต่อาจต้องใช้เวลา 10-20 ปี แผนงานระบุว่า ไทยไม่ควรกระโดดไปสร้างจรวดใหญ่นำส่งดาวเทียมในทันที แต่ควรเริ่มจากจรวดวิจัยขนาดเล็ก (Sounding Rocket) หรือจรวด Suborbital ก่อน ใช้งบลงทุนไม่สูง (น้อยกว่า 10 ล้านเหรียญสหรัฐ) เพื่อสร้างองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญให้บุคลากร โดย GISTDA มอง “เกาหลีใต้” เป็นต้นแบบเพราะเกาหลีใต้เริ่มจากการเป็นประเทศอวกาศเกิดใหม่ พัฒนาจากศูนย์จนมีจรวด Nuri ของตัวเองได้ภายในเวลาประมาณ 20 ปี

ท่าอวกาศยานไม่ใช่แค่เรื่องของ GISTDA หน่วยงานเดียว แต่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและกฎหมายหลายฉบับ ซึ่งไทยยังไม่มีกฎหมายอวกาศหรือระเบียบการบินที่รองรับการปล่อยจรวดเชิงพาณิชย์อย่างชัดเจน ต้องมีการประสานงานกับหน่วยงานมหาศาล ทั้งกรมท่าอากาศยาน, กองทัพ (ความมั่นคง), กรมเจ้าท่า (ทางทะเล) และเจ้าของพื้นที่ หากรัฐบาลไม่มองว่าเป็น “วาระแห่งชาติ” และปล่อยให้ GISTDA ขับเคลื่อนเพียงลำพัง โครงการอาจสะดุดเพราะขาดการบูรณาการอำนาจในการสั่งการข้ามกระทรวง
หากย้อนกลับไปเมื่อ 50-60 ปีก่อน การบินพลเรือนและสนามบินพาณิชย์ดูเป็นเรื่องไกลตัวและจับต้องยากสำหรับคนทั่วไป แต่ในปัจจุบันมันกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ขาดไม่ได้ ท่าอวกาศยานในวันนี้ก็เช่นกัน มันอาจดูเป็นเรื่องใหม่และท้าทาย แต่ในอนาคต มันอาจกลายเป็นประตูบานสำคัญที่พาเศรษฐกิจไทย “Take off” ไปสู่พรมแดนใหม่ที่ไร้ขีดจำกัด

ความเป็นไปได้ของท่าอวกาศยานไทยไม่ใช่เรื่องของนิยายวิทยาศาสตร์อีกต่อไป แต่เป็นแผนงานที่มีการศึกษาอย่างจริงจัง ภาครัฐและ GISTDA กำลังผลักดันให้เกิดขึ้นจริงภายใน 5-10 ปีข้างหน้า โดยอาจเริ่มจากท่าอวกาศยานขนาดเล็กสำหรับจรวดวิจัย เพื่อสะสมองค์ความรู้ ก่อนขยายไปสู่ระดับเชิงพาณิชย์
ความท้าทายสำคัญคือเรายังไม่มีเทคโนโลยีจรวดเป็นของตัวเอง ดังนั้นกลยุทธ์ในช่วงแรกคือการดึงดูดพันธมิตรต่างชาติ (เช่น เกาหลีใต้ หรือบริษัทเอกชนระดับโลก) เข้ามาร่วมลงทุนและถ่ายทอดเทคโนโลยี





