สัมภาษณ์ GISTDA คุยความเป็นไปได้ ‘ท่าอวกาศยานไทย’ ประตูบานใหม่สู่เศรษฐกิจอวกาศ

THE SUMMARY:

เมื่อพูดถึง “อวกาศ” หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว หรือเป็นเพียงเรื่องของประเทศมหาอำนาจ แต่ความจริงคือเทคโนโลยีจากอวกาศนั้นเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราอย่างแยกไม่ออก ไม่ว่าจะเป็นระบบนำทาง GPS, การพยากรณ์อากาศ หรือการจัดการภัยพิบัติ วันนี้ประเทศไทยไม่ได้มองแค่การเป็นผู้ใช้งานอีกต่อไป แต่กำลังก้าวไปสู่การเป็นผู้สร้างและผู้ให้บริการผ่านโครงการ “ท่าอวกาศยานไทย” (Thailand Spaceport)

ดร.ณัฐวัฒน์ หงส์กาญจนกุล ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมเศรษฐกิจอวกาศ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA)
ดร.ณัฐวัฒน์ หงส์กาญจนกุล ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมเศรษฐกิจอวกาศ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA)

เราได้พูดคุยกับ ดร.ณัฐวัฒน์ หงส์กาญจนกุล ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมเศรษฐกิจอวกาศ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) เพื่อสำรวจความเป็นไปได้ ความจำเป็น และอนาคตของท่าอวกาศยานในประเทศไทย

ทำไมประเทศไทยถึง “เหมาะสม” กับการสร้างท่าอวกาศยาน?

ไทยอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ของการปล่อยจรวด
ไทยอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ของการปล่อยจรวด

เราคุ้นเคยกับ “ท่าอากาศยาน” (Airport) อย่างสุวรรณภูมิหรือดอนเมือง แต่ “ท่าอวกาศยาน” (Spaceport) คือจุดเชื่อมต่อระหว่างพื้นโลกกับอวกาศ โดยมุ่งเน้นการส่งวัตถุขึ้นไปที่ความสูงระดับ 100 กิโลเมตรเหนือพื้นดิน ซึ่งถือเป็นเส้นขอบฟ้าหรืออวกาศ, ในขณะที่สนามบินจัดการการเดินทางในชั้นบรรยากาศ ท่าอวกาศยานคือประตูสู่การส่งดาวเทียมและการขนส่งข้ามทวีปในอนาคต

คำถามสำคัญคือ “เรามีไปทำไม?” คำตอบไม่ได้อยู่ที่ความเท่หรือการอวดศักยภาพ แต่อยู่ที่ความมั่นคงและเศรษฐกิจ ซึ่งประโยชน์ของการมี Spaceport ในไทยคือ

  1. โอกาสทางเศรษฐกิจใหม่: ธุรกิจอวกาศไม่ใช่แค่การสร้างจรวด แต่รวมถึงการใช้ประโยชน์จากข้อมูล (Downstream) ซึ่งมีมูลค่ามหาศาล การมีท่าอวกาศยานจะดึงดูดนักลงทุน สร้างงานทักษะสูง (STEM) และยกระดับไทยจากการเป็นเพียงผู้ซื้อเทคโนโลยี สู่การเป็นผู้ร่วมสร้างในระดับโลก
  2. ความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์: ประเทศไทยมีทำเลทอง คืออยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรการส่งจรวดจากบริเวณนี้ช่วยประหยัดเชื้อเพลิงได้มากในการส่งดาวเทียมเข้าสู่วงโคจรค้างฟ้า (GEO) ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่แม้แต่มหาอำนาจอย่างจีนหรือสหรัฐฯ ก็อาจทำได้ไม่ดีเท่าในบางวงโคจร
  3. ลดการพึ่งพาต่างชาติ: ปัจจุบันประเทศไทยพึ่งพาข้อมูลและดาวเทียมจากต่างประเทศกว่า 90% การมีท่าอวกาศยาน จะส่งเสริมเทคโนโลยีอวกาศภายในประเทศ ซึ่งการมีเทคโนโลยีเป็นของตนเองจะช่วยสร้างความมั่นคงทางข้อมูล (Data Sovereignty) โดยเฉพาะในสถานการณ์ภัยพิบัติหรือความมั่นคงชายแดนที่เราต้องการข้อมูลทันทีโดยไม่ต้องรอคิวจากชาติอื่น

ความเป็นไปได้และพื้นที่ยุทธศาสตร์

พื้นที่ที่เป็นไปได้ในการสร้างท่าอวกาศยานไทย
พื้นที่ที่เป็นไปได้ในการสร้างท่าอวกาศยานไทย

จากการศึกษาของ GISTDA ร่วมกับ KPMG พบว่าประเทศไทยมีศักยภาพในการตั้งท่าอวกาศยานได้จริง โดยแบ่งเป็น 2 รูปแบบ และมี 3 พื้นที่เป้าหมาย

  1. การปล่อยแบบแนวดิ่ง (Vertical Launch): คือการปล่อยจรวดขึ้นจากฐานเหมือนที่เราเห็นในภาพยนตร์ พื้นที่ที่มีศักยภาพคือ:
    • หมู่เกาะจวง/เกาะจาน จ.ชลบุรี: มีความเหมาะสมสูงเนื่องจากอยู่ห่างจากชุมชน (8 กม. จากฝั่ง) ช่วยลดผลกระทบทางเสียงและความปลอดภัย และมีค่าผลตอบแทนทางสังคม (SROI) ที่ดีที่สุด,
    • แหลมสนอ่อน จ.สงขลา: สามารถส่งจรวดสู่วงโคจรได้หลากหลาย แต่มีความท้าทายสูงด้านผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม เนื่องจากอยู่ใกล้เขตที่อยู่อาศัย,
  2. การปล่อยแบบแนวนอน (Horizontal Launch): คือการใช้อากาศยานพาจรวดขึ้นไปปล่อยที่ความสูง หรือเครื่องบินอวกาศที่บินขึ้น-ลงเหมือนเครื่องบิน
    • สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา: มีความพร้อมด้านรันเวย์ ระบบโลจิสติกส์ และตั้งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ไม่ต้องลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่ทั้งหมด,

ความคุ้มค่าในการลงทุน

การสร้างท่าอวกาศยานต้องใช้เงินลงทุนสูง ประมาณ 300 – 800 ล้านบาทต่อฐานปล่อย แต่ผลการวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจชี้ว่ามีความคุ้มค่าคือคาดการณ์ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ (Economic Return) สูงถึง 26% ถึงกว่า 300% และมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) เป็นบวกอยู่ที่ระดับ 1,000 – 36,000 ล้านบาทขึ้นอยู่กับพื้นที่และขนาดโครงการ

อย่างไรก็ตาม ความคุ้มค่าไม่ได้วัดแค่ตัวเงิน แต่ยังรวมถึงกำไรทางสังคมในการสร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชน และการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าประเทศในอีก 5-10 ปีข้างหน้า โดยมีแผนงานคือ

  • ระยะเริ่มต้น (2-3 ปี): มุ่งเน้นท่าอวกาศยานขนาดเล็กสำหรับ จรวดวิจัย (Sounding Rocket) หรือ Suborbital เพื่อทดสอบระบบและสร้างความเชี่ยวชาญ ใช้งบประมาณไม่สูง คือน้อยกว่า 10 ล้านเหรียญสหรัฐ
  • ระยะกลาง (5-10 ปี): ขยายสู่ระดับพาณิชย์ (Orbital Launch) เพื่อส่งดาวเทียมเข้าสู่วงโคจร ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือและการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากพันธมิตรต่างชาติ เช่น เกาหลีใต้ เนื่องจากไทยยังไม่มีเทคโนโลยีจรวดเป็นของตัวเอง

ถึงแม้ว่าโครงการท่าอวกาศยานไทยจะมีผลการศึกษาชี้ว่ามีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและมีความเป็นไปได้ทางเทคนิค แต่การจะทำให้โครงการนี้เกิดขึ้นจริงยังมีอุปสรรคและคอขวดสำคัญหลายประการที่อาจทำให้โครงการต้องชะลอตัว หรือถึงขั้นพับแผนไปได้ หากไม่ได้รับการจัดการที่ถูกต้อง

อุปสรรคของท่าอวกาศยานไทย

แน่นอนว่าโครงการใหญ่อย่างท่าอวกาศไทยก็ต้องมีอุปสรรค ซึ่งคณะทำงานก็คาดการณ์ปัญหาเพื่อหาทางออกไว้ตั้งแต่ช่วงวางแผนดังนี้

1. ข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์และน่านฟ้า

แม้ไทยจะอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรซึ่งเป็นข้อดี แต่ก็มีความยากตรงทิศทางการปล่อยจรวด เพราะการปล่อยจรวดด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน (Vertical Launch) จำเป็นต้องมีพื้นที่ปลอดภัยสำหรับชิ้นส่วนจรวดที่สลัดทิ้ง (Drop zones) ซึ่งภูมิศาสตร์ของไทยทำให้การส่งจรวดขึ้นสู่วงโคจรทำได้ยาก เพราะทิศทางที่เหมาะสมมักจะพาดผ่านน่านฟ้าหรือดินแดนของประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งในทางปฏิบัติเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมากในแง่ความปลอดภัยและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ซึ่งทางออกที่แก้ปัญหาเรื่องข้อจำกัดของพื้นที่ได้ดีที่สุดคือแทนที่จะยิงจรวดขึ้นจากฐานบนพื้นดินโดยตรง ก็ใช้เครื่องบินพาจรวดหรือยานอวกาศขึ้นไปปล่อยที่ความสูง แล้วจึงยิงออกไป โดยใช้สนามบินนานาชาติอู่ตะเภาเป็นฐาน

2. การขาดแคลนเทคโนโลยีจรวดของตนเอง

ปัจจุบันไทยยังไม่มีเทคโนโลยีจรวดนำส่ง (Launch Vehicle) เป็นของตนเอง ทำให้ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ หรือต้องดึงดูดให้เขามาลงทุน ซึ่งการนำเข้าจรวดและเชื้อเพลิงจากต่างประเทศเข้ามาในไทยมีความซับซ้อนสูงมาก ทั้งเรื่องขนาด น้ำหนัก และกฎระเบียบระหว่างประเทศที่เข้มงวด เช่น ITAR (กฎระเบียบการค้าอาวุธระหว่างประเทศของสหรัฐฯ) ซึ่งควบคุมเทคโนโลยีจรวดอย่างเคร่งครัด ทำให้การขนย้ายข้ามทวีปเป็นเรื่องยากและมีต้นทุนสูง

ทางออกของปัญหานี้มีหลายทาง ตั้งแต่ใช้วิธีเปิดพื้นที่เชิญชวนบริษัทผู้ผลิตจรวดที่มีเทคโนโลยีอยู่แล้ว (ช่น จากเกาหลีใต้, จีน, สหรัฐฯ หรือเอกชน ให้มาตั้งฐานการผลิตหรือฐานปล่อยในประเทศไทย โดยใช้ความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ซึ่งช่วยประหยัดเชื้อเพลิงในการส่งดาวเทียม เป็นตัวดึงดูดให้เขาอยากมาใช้พื้นที่เรา ซึ่งไทยจะได้การจ้างงาน และการถ่ายทอดเทคโนโลยีในเบื้องต้น (เช่น การประกอบ, การผลิตชิ้นส่วน) โดยที่เราไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงในการวิจัยเองทั้งหมด

หรือใช้วิธีซื้อชิ้นส่วนมาประกอบ ที่ไทยสามารถซื้อชิ้นส่วนที่มีความซับซ้อนสูง เช่น “เครื่องยนต์จรวด” จากต่างประเทศ แล้วนำมาออกแบบโครงสร้างและประกอบเป็นจรวดเองในไทย ซึ่งลดเวลาในการวิจัยและพัฒนา และลดความเสี่ยงด้านเทคนิค แต่ก็ยังมีความเสี่ยงเรื่องห่วงโซ่อุปทาน เพราะถ้าเขาเลิกขายให้ เราก็ทำต่อไม่ได้ รวมถึงต้องฝ่าด่านกฎระเบียบระหว่างประเทศในการขนส่งชิ้นส่วนเทคโนโลยีขั้นสูง (เช่น กฎ ITAR)

และทางที่ยากที่สุดคือ สร้างเองตั้งแต่ต้น เป้าหมายสูงสุดเพื่อความยั่งยืน แต่อาจต้องใช้เวลา 10-20 ปี แผนงานระบุว่า ไทยไม่ควรกระโดดไปสร้างจรวดใหญ่นำส่งดาวเทียมในทันที แต่ควรเริ่มจากจรวดวิจัยขนาดเล็ก (Sounding Rocket) หรือจรวด Suborbital ก่อน ใช้งบลงทุนไม่สูง (น้อยกว่า 10 ล้านเหรียญสหรัฐ) เพื่อสร้างองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญให้บุคลากร โดย GISTDA มอง “เกาหลีใต้” เป็นต้นแบบเพราะเกาหลีใต้เริ่มจากการเป็นประเทศอวกาศเกิดใหม่ พัฒนาจากศูนย์จนมีจรวด Nuri ของตัวเองได้ภายในเวลาประมาณ 20 ปี

3. ความซับซ้อนด้านกฎหมายและการบูรณาการภาครัฐ

SROI - Social Return on Investment ของท่าอวกาศยาน
SROI – Social Return on Investment ของท่าอวกาศยาน

ท่าอวกาศยานไม่ใช่แค่เรื่องของ GISTDA หน่วยงานเดียว แต่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและกฎหมายหลายฉบับ ซึ่งไทยยังไม่มีกฎหมายอวกาศหรือระเบียบการบินที่รองรับการปล่อยจรวดเชิงพาณิชย์อย่างชัดเจน ต้องมีการประสานงานกับหน่วยงานมหาศาล ทั้งกรมท่าอากาศยาน, กองทัพ (ความมั่นคง), กรมเจ้าท่า (ทางทะเล) และเจ้าของพื้นที่ หากรัฐบาลไม่มองว่าเป็น “วาระแห่งชาติ” และปล่อยให้ GISTDA ขับเคลื่อนเพียงลำพัง โครงการอาจสะดุดเพราะขาดการบูรณาการอำนาจในการสั่งการข้ามกระทรวง

ก้าวต่อไปของไทย

หากย้อนกลับไปเมื่อ 50-60 ปีก่อน การบินพลเรือนและสนามบินพาณิชย์ดูเป็นเรื่องไกลตัวและจับต้องยากสำหรับคนทั่วไป แต่ในปัจจุบันมันกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ขาดไม่ได้ ท่าอวกาศยานในวันนี้ก็เช่นกัน มันอาจดูเป็นเรื่องใหม่และท้าทาย แต่ในอนาคต มันอาจกลายเป็นประตูบานสำคัญที่พาเศรษฐกิจไทย “Take off” ไปสู่พรมแดนใหม่ที่ไร้ขีดจำกัด

ช่วงเวลาในการพัฒนาท่าอวกาศยาน
ช่วงเวลาในการพัฒนาท่าอวกาศยาน

ความเป็นไปได้ของท่าอวกาศยานไทยไม่ใช่เรื่องของนิยายวิทยาศาสตร์อีกต่อไป แต่เป็นแผนงานที่มีการศึกษาอย่างจริงจัง ภาครัฐและ GISTDA กำลังผลักดันให้เกิดขึ้นจริงภายใน 5-10 ปีข้างหน้า โดยอาจเริ่มจากท่าอวกาศยานขนาดเล็กสำหรับจรวดวิจัย เพื่อสะสมองค์ความรู้ ก่อนขยายไปสู่ระดับเชิงพาณิชย์

ความท้าทายสำคัญคือเรายังไม่มีเทคโนโลยีจรวดเป็นของตัวเอง ดังนั้นกลยุทธ์ในช่วงแรกคือการดึงดูดพันธมิตรต่างชาติ (เช่น เกาหลีใต้ หรือบริษัทเอกชนระดับโลก) เข้ามาร่วมลงทุนและถ่ายทอดเทคโนโลยี

บรรณาธิการ CEEi ดูแลเนื้อหาด้านเทคโนโลยี Gadget ทุกประเภท

Advertisement

Sidebar Search
Popular Now
Loading

Signing-in 3 seconds...

Signing-up 3 seconds...