หูฟังครอบหูของโซนี่ตระกูล WH-1000X นั้นเป็นหนึ่งในหูฟังไร้สายยอดนิยมตั้งแต่ออกรุ่นแรกเมื่อปี 2016 ตอนนี้ผ่านมาเกือบ 10 ปีกับหูฟัง 6 รุ่น ซึ่งตัวล่าสุดที่เราจะรีวิวในวันนี้คือ Sony WH-1000XM6 ก็ถือว่าโซนี่สามารถแก้ไขจุดอ่อนที่เคยมีมาได้ครบ และปรับปรุงเรื่องที่ดีอยู่แล้วให้ดีขึ้นไปได้อีก
งานออกแบบของหูฟังรุ่นนี้ มองภายนอกไม่ต่างจาก Sony WH-1000XM5 ที่ออกเมื่อปี 2022 มากนัก แต่ก็ได้รับการปรับปรุงรายละเอียดหลายอย่าง จุดที่ชอบที่สุดคือตัวก้านหูฟังมีข้อต่อสามารถหมุนได้มากขึ้น ทำให้พับเก็บลงในกระเป๋าพกพาได้เล็กลง และมีองศาการใช้งานที่สอดรับกับศีรษะมากขึ้น นอกจากนี้แถบคาดศีรษะด้านบนก็มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยรวมทำให้ใส่สบายขึ้น และมีการปรับปรุงปุ่มกดใหม่ให้ปุ่มเปิด-ปิดเป็นปุ่มวงกลมขนาดใหญ่ คลำหาง่ายขึ้น ไม่ไปสับสนกับปุ่ม NC/AMB เหมือนรุ่นเดิม ส่วนการเชื่อมต่อสามารถต่อเสียงผ่านช่อง 3.5 mm ได้ แต่ไม่รองรับการเชื่อมต่อเสียงโดยตรงผ่านพอร์ต USB-C ครับ พอร์ตนี้ไว้มีชาร์จหูฟังเท่านั้น
ในส่วนของตัวแป้นหูฟังก็ดีไซน์อย่างละเอียดให้รองรับใบหูได้ดี มีความนุ่มนวลเวลาสวมใส่ รู้สึกได้ว่าใส่นาน ๆ แล้วร้อนน้อยกว่ารุ่นก่อน ๆ แต่เราว่าแป้นหูฟังผ้าของ AirPods Max จะรู้สึกโปร่งสบายมากกว่านิดหน่อย เพราะตัวแป้นใหญ่กว่า และผ้าให้ความรู้สึกว่าอากาศถ่ายเทได้มากกว่า (แต่ AirPods Max ก็หนักกว่ามากเช่นกัน) นอกจากนี้ความลึกของแป้นหูฟังค่อนข้างน้อยกว่าหูฟังรุ่นอื่น ๆ ถ้าใครใส่แว่นอาจจะอาจจะรู้สึกเสียงเปลี่ยนบ้าง หรือลักษณะการตัดเสียงเปลี่ยนไป เพราะการซีลเสียงของแป้นหูฟังเปลี่ยนไปครับ
ที่ประทับใจมากคือตัวเคสหูฟังปรับปรุงไปเยอะ คิดใหม่ทำใหม่ กลายเป็นเคสที่ไม่ได้ปิดด้วยซิป แต่ใช้สายรัดแล้วดูดติดด้วยแม่เหล็ก จึงเปิดด้วยมือเดียวได้ และก็ยังมีพื้นที่มากพอสำหรับสาย AUX 3.5 mm และสายชาร์จ USB-A to USB-C ในกล่อง
โดย Sony WH-1000XM6 เมื่อเปิดตัวมีให้เลือก 3 สี คือ ดำ, เงิน และน้ำเงินเข้ม (Midnight Blue)
การกลับมาคราวนี้ของ Sony WH-1000XM6 ปรับสเปกด้านเสียงไปหลายจุดครับ ตั้งแต่ปรับขนาดไดรเวอร์จาก 40 mm ลงมาเหลือ 30 mm แล้วจูนใหม่ให้เสียงดีกว่าไดรเวอร์ตัวเดิม โดยตอบสนองความถี่ 4 – 40,000 Hz คือรองรับ Hi-Res เต็มรูปแบบ ซึ่งจะฟังเสียงระดับ Hi-Res ได้ก็ต้องเชื่อมต่อสัญญาณเสียงผ่านสาย หรือเชื่อมต่อไร้สายผ่าน LDAC ที่คุณภาพสูงสุด (ซึ่งผู้ใช้ iPhone อด เพราะเชื่อมต่อได้แค่ AAC เท่านั้น) โดยหูฟังรุ่นนี้รองรับ Bluetooth Codec 4 ตัวคือ LDAC, LC3, AAC และ SBC
นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีเฉพาะของโซนี่อย่าง DSEE Extreme ที่ช่วยปรับปรุงคุณภาพเสียงที่ไปถึงหูฟัง ให้กลับมามีลักษณะใกล้เคียงเสียง Hi-Res และภายในประกอบด้วยชิปประมวลผล 2 ตัวคือ Sony V2 สำหรับการประมวลผลเสียง และชิป Sony QN3 ที่ทำงานเรื่องการตัดเสียงรบกวนโดยเฉพาะ โดยเมื่อชิปประมวลผลเสียงได้เร็วขึ้น ก็สามารถปรับสัญญาณไปตัดเสียงรบกวนภายนอกได้ครบถ้วนขึ้น เสียงรบกวนก็เลยถูกตัดออกไปมากขึ้น
Sony WH-1000XM6 ประกอบด้วยไมโครโฟน 12 ตัวรอบตัว เพื่อจับเสียงมาประมวลผลให้ได้มากที่สุด ในจำนวนนี้ก็มีไมค์สำหรับการสนทนาที่ทำให้ได้เสียงพูดที่ชัดเจนด้วย
แนวเสียงของ Sony WH-1000XM6 ยังคงคล้ายกับรุ่นก่อนคือเป็นเสียงโทนอุ่นที่เน้นเบสชัดเจน แต่ก็ปรับให้เสียงร้องชัดเจนขึ้น ไม่โดนเบสท่วมจนอึดอัดเหมือนรุ่นที่แล้ว
ลักษณะเสียงของ Sony WH-1000XM6 คือ
โดยรวมแล้วเสียงของหูฟังตัวนี้จะเป็นมวล ๆ รวม ๆ เป็นก้อนเทไปทางเสียงเบสมากหน่อย ซึ่งก็น่าจะถูกจริตหลายคนที่ชอบฟังเพลงที่หนักแน่นครับ
ส่วนเรื่องการตัดเสียง Sony WH-1000XM6 ทำได้ยอดเยี่ยมมาก ทำได้ดีขึ้นไปอีกจากที่รุ่นเดิมเคยทำได้ เสียงภายนอกในทุกย่านทั้งเบส เสียงพูด หรือเสียงแหลม ถูกตัดลดลงหมด เป็นหูฟังแบบครอบหูที่ตัดเสียงดีอันดับต้นของโลกในตอนนี้ (ระดับใกล้เคียงกันคือ Sonos Ace และ Bose QuietComfort Ultra) ส่วนโหมด Tranparent ก็ให้เสียงภายนอกได้ดี ใกล้เคียงกับการไม่ใส่หูฟังมาก ๆ
ไมค์ของ Sony WH-1000XM6 ได้รับการปรับปรุงจากรุ่นเดิมไปเยอะมาก สามารถตัดเสียงรบกวนภายนอกได้ดีเยี่ยม และให้น้ำหนักเสียงได้ดีใกล้เคียงกับไมค์สตูดิโอมากขึ้น และถ้าใช้กับสมาร์ตโฟนที่รองรับ Codec LC3 ก็จะได้เสียงคุยโทรศัพท์ที่ชัดเจนขึ้นอีก ซึ่งเสียงที่เราบันทึกมาให้ฟังนี้บันทึกผ่าน iPhone 17 Pro ซึ่งยังไม่รองรับ LC3 ครับ
เมื่อเปรียบเทียบเสียงกับ Sennheiser Momentum 4 จะได้ยินลักษณะที่แตกต่างกันชัดเจน เสียงของ Momentum 4 นั้นโปร่งกว่า ได้ยินความใสของดนตรีมากกว่า เสียงเปียโนชัด กีต้าร์ไฟฟ้าชัด ได้ยินดีเทลช่วงเสียงแหลมได้ดี เบสแน่นระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้ลูกใหญ่เท่า Sony WH-1000XM6 ที่ให้รายละเอียดเบสเยอะ ถ้ามีไลน์เบสโซนี่ก็ได้ยินชัดกว่าใคร ส่วนเรื่องการตัดเสียง Momentum 4 ตัดเสียงได้น้อยกว่า และโหมดดึงเสียงภายนอกหรือ Tranparent ก็ยังไม่เก่งเท่า เสียงยังเป็นธรรมชาติน้อยกว่า โดยปัจจุบันเราสามารถหา Momentum 4 ได้ในราคาไม่เกิน 9,000 บาท
ส่วนเมื่อเทียบเสียงกับ AirPods Max หูฟังของแอปเปิลตัวนี้ให้เสียงโทนกลางเป็นเอกลักษณ์ เสียงนวลเนียนสม่ำเสมอกัน เบสไม่ดุ แหลมไม่บาด บางคนอาจจะว่าเสียงจืด แต่ก็เป็นเสียงที่ฟังได้ไม่เบื่อ คนละสไตล์กับ Sony WH-1000XM6 ที่ให้เบสเยอะ ส่วน Momentum 4 ก็ให้ดีเทลเสียงแหลมมาก ส่วนการตัดเสียงเป็นรองโซนี่นิดหน่อย แต่เสียง Transparent ฟังดูเป็นธรรมชาติกว่า ซึ่งก็มาในราคาที่ดุกว่าใครเพื่อน คือปัจจุบันหาได้ต่ำกว่า 20,000 นิดเดียว
ส่วนเสียงไมค์เมื่อเทียบกับ AirPods Max ในสถานการณ์เดียวกัน เป็นแบบนี้ครับ
หนึ่งในฟีเจอร์ของ Sony WH-1000XM6 คือ 360 Upmix for Cinema ซึ่งสามารถเปิดได้จากแอป Sony Sound Connect แล้วเลือก Listening Mode เป็น Cinema (ปกติจะเป็น Standard อยู่)
เราทดลองแล้ว เสียงจากภาพยนตร์หรือซีรีส์ต่าง ๆ ดีขึ้นมากจริง ทั้งให้เสียงที่หนักแน่นขึ้นอย่างที่การชมภาพยนตร์ควรจะเป็น เสียงพูดก็ยังชัด พร้อมมิติเสียงและเอฟเฟกต่าง ๆ ถูกปรับให้กว้างขึ้น รู้สึกเหมือนดูหนังอยู่ในโรงภาพยนตร์ ซึ่งถ้าดูผ่าน Android ที่รองรับจะสามารถเปิดฟีเจอร์ Head Tracking ให้เสียงปรับตำแหน่งตามการหันของศีรษะได้ด้วย
แต่ชื่อโหมดก็บอกนะครับว่า For Cinema เพราะฉะนั้นโหมดนี้ไม่เหมาะสำหรับการฟังเพลงอย่างแรง เปิดแล้วเสียงเพลงจะฟุ้ง ๆ หลอน ๆ ไม่หนักแน่น อย่าลืมสลับโหมดให้เหมาะกับการใช้งานล่ะ
ที่ตัวหูฟังตัวนี้มีปุ่มควบคุมอยู่ 2 ปุ่ม ปุ่มแรกปุ่มวงกลมขนาดใหญ่เอาไว้เปิด-ปิดหูฟัง และกดค้างเพื่อเชื่อมต่อ Bluetooth ใหม่ คือ NC/AMB หน้าที่หลักคือเปลี่ยนโหมดระหว่างตัดเสียงรบกวนภายนอกกับดึงเสียงภายนอก แต่สามารถกำหนดให้กด 2 ครั้งเพื่อเรียก Spotify และกด 3 ครั้งเพื่อเรียก Apple Music ได้ผ่านแอป Sound Connect
นอกจากนี้เรายังสามารถสั่งงานผ่านแป้นควบคุมแบบสัมผัสที่หูฟังได้ขวาได้เหมือนรุ่นก่อน โดย
หูฟังจากโซนี่นั้นอัดแน่นด้วยลูกเล่นมหาศาลเสมอ ซึ่งส่วนใหญ่จะเปิดใช้จากแอป Sony Sound Connect คือถ้าใช้ Sony WH-1000XM6 แล้วไม่ใช้งานแอปตัวนี้ก็เหมือนฟีเจอร์หายไปเกินครึ่ง
ฟีเจอร์ที่สามารถปรับผ่านแอปตัวนี้ได้คือ
นอกจากนี้ยังมีโหมด Scene ที่เซ็ตให้หูฟังเปิดเพลงเองจากบริการโปรด ซึ่งเลือกได้ว่าจะให้เปิดเวลาเดิน, วิ่ง หรือเข้ายิม และให้หูฟังพูด Notification ที่เข้ามาได้ด้วย เหมาะสำหรับคนที่อยากให้หูฟังแจ้งเตือนทุกอย่างโดยไม่ต้องดูมือถือ
แล้วหูฟังรุ่นนี้ยังรองรับการเชื่อมต่อแบบ Auracast ที่ทำให้รับสัญญาณเสียงจากต้นกำเนิดได้พร้อม ๆ กัน คือมีต้นกำเนิดเสียง 1 แหล่งเหมือนสถานีวิทยุ และสามารถส่งเพลงไปถึงอุปกรณ์ที่รองรับ Auracast หลาย ๆ ตัวพร้อมกันได้
โดยรวมแล้ว Sound Connect ฟีเจอร์เยอะมาก ทำอะไรได้มากจริง ก็เลือกเปิดใช้ให้เหมาะสมกับการใช้งานของเราครับ
ตามสเปกแล้ว Sony WH-1000XM6 สามารถใช้งานได้ต่อเนื่อง 30 ชั่วโมงเมื่อเปิดการตัดเสียงรบกวน และใช้ได้นานสุด 40 ชั่วโมง ถ้าปิดโหมด ANC ครับ ส่วนถ้าใช้คุยสายจะทำงานได้ 24 ชั่วโมงถ้าเปิดการตัดเสียงรบกวน ซึ่งทดสอบในการใช้งานจริงแล้วก็ไม่ต่างจากเลขเคลมของโซนี่ ถือว่าหูฟังรุ่นนี้ทำแบตเตอรี่มาได้ดีเยี่ยม อึดกว่ารุ่นที่แล้ว
ส่วนการชาร์จใช้พอร์ต USB-C สามารถชาร์จให้เต็มได้ภายใน 3.5 ชั่วโมง และสามารถชาร์จ 3 นาทีก็ใช้งานได้ 3 ชั่วโมงครึ่งครับ
กลับมาในปี 2025 โซนี่ปรับปรุงหูฟังไร้สายตัวท็อปของค่ายรุ่นนี้ในทุกด้านจนสมกับเป็นหูฟังตระกูลที่ขายดีอันดับต้นของโลก ซึ่งยังคงเอกลักษณ์เรื่องเสียงที่อบอุ่น เบสหนักแน่นที่หลายคนชื่นชอบจากหูฟังซีรี่ส์นี้เอาไว้ พร้อมปรับปรุงไมโครโฟนให้ดีขึ้น เหมาะสำหรับใช้คุยสายหรือประชุมออนไลน์มากขึ้นไปอีก จึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับใครที่ตัดสินใจซื้อหูฟังใหม่ในช่วงนี้
โดย Sony WH-1000XM6 เปิดตัวที่ 15,990 บาท อยู่ในระดับราคาหูฟัง Premium ของตลาด ถ้าใครชอบลักษณะเสียงของโซนี่ และชอบฟีเจอร์ความฉลาดที่หูฟังตัวหนึ่งจะมีได้ ต้องจัดเลย