สมัยก่อน ที่การรบทางทะเลยังเป็นเรื่องปกติมาก ๆ ของการทำสงครามในยุคศตวรรษที่ 17 กองเรือรบมักจะรบด้วยเรือหลายสิบลำ การสื่อสารระหว่างเรือตอนนั้นก็ลำบากยิ่ง ดังนั้น เรือของผู้บังคับบัญชา เลยต้องมี ‘ธงประจำยศ‘ ที่จะชักขึ้นด้านบนเรือ เพื่อบอกว่าเรือลำอื่น ๆ จะต้องตามคำสั่งเรือลำนี้ หลังจากนั้น คำว่า ‘เรือธง’ หรือ ‘Flagship’ เลยถือกำเนิดขึ้น เพื่อบอกว่านี่คือเรือที่สำคัญที่สุด เป็นจุดศูนย์กลาง และเป็นผู้นำ
คำว่า Flagship เติบโตขึ้นมาเรื่อย ๆ จนปัจจุบัน คนก็ต่างเข้าใจกันว่า ถ้าของชิ้นไหน หรือสมาร์ตโฟนเครื่องไหน ที่เรียกว่าเป็น เรือธง แปลว่า นั่นคือรุ่นที่ สูงที่สุด ดีที่สุด หรือเป็นรุ่นที่แบรนด์ลงทุน ลงแรงและพัฒนาให้ได้มากที่สุดนั่นเอง จนมั่นใจว่า นี่แหละ คือตัวแทนของแบรนด์นั้น ๆ
หลังจากที่ Nothing ห่างหายจากการทำสมาร์ตโฟนรุ่นท็อปสุดมานานเกือบ 2 ปี และขยายออกด้านล่าง ไปทำสมาร์ตโฟนรุ่นประหยัด ทั้ง Nothing Phone (a) Series หรือ CMF Phone ในที่สุด เขาก็กลับมาพร้อมกับสมาร์ตโฟนที่เรียกตัวเองว่าเป็น ‘เรือธง‘ อย่างเต็มภาคภูมิแล้วจริง ๆ
แต่เชื่อเถอะว่า การจะเรียกตัวเองว่าเป็น เรือธง ได้นั้น มันมีสิ่งที่ต้องแบกรับเอาไว้ไม่น้อย แล้ว Nothing Phone (3) เครื่องนี้ จะสามารถเป็นเรือธงได้สมภาคภูมิแค่ไหนกัน ?
พูดกันแบบเปิดอกเลย เรื่องดีไซน์โดยภาพรวมอยากให้เรียกว่า นี่คือมือถือที่ ’เลือกคนใช้‘ ไม่น้อย ในยุคที่คนต่างสนใจ และห่วง ‘ความสมมาตร’ กระทั่งในสมาร์ตโฟน ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม Nothing Phone (3) ก็ขาดความสมมาตรกันเห็น ๆ เรื่องนี้ไม่ว่าจะให้ปกป้องเท่าไหร่ ก็คงหนีไม่พ้นแน่นอน
ผู้เขียนลองได้สอบถามเรื่องของดีไซน์ตัวเครื่อง แบบให้ได้เห็นตัวเครื่องกับตาเนื้อก็ยังคงเกิดความเห็นต่างกันไม่น้อย คนหนึ่งบอกว่าพอมันไม่สมมาตรแล้วก็ดูน่าเกลียดไปเลย แต่อีกคนหนึ่งกลับบอกว่าดีไซน์โดยภาพรวมดูสวยแล้ว โดยที่ไม่ได้สนใจความไม่สมมาตรของกล้องถ่ายภาพมากนัก
แต่ถ้าให้มองแบบนามธรรมไปกว่านั้น ความสมมาตรก็ไม่ใช่ความหมายของความสวยงามเหมือนกัน มองให้ลึกลงไป สิ่งที่ Nothing อยากจะสื่อ อาจจะเป็นความไม่ธรรมดา ที่ Nothing อยากจะไปให้ถึงอยู่ตลอดอยู่แล้ว
ชีวิตคนเรานั้นสั้น และไม่มีเหตุผลอันใดเลย ที่เราจะต้องเป็นคนธรรมดา
JerryRigEverything รีวิวดีไซน์ของ Nothing Phone (3)
หรือไม่ก็ แท้จริงแล้ว Nothing อาจจะแค่ไม่สามารถวางดีไซน์ตัวกล้องถ่ายภาพให้สมมาตรและเพอร์เฟคไม่ได้ ด้วยข้อจำกัดทางวิศวกรรม ที่ไม่สามารถวางเซนเซอร์กล้อง ซึ่งมีทั้งกระจกเลนส์แบบ Periscope ที่หลายชั้นมาก ให้ลงไปอยู่ในตำแหน่งที่พอดิบพอดี ก็เป็นไปได้เช่นกัน
ในขณะเดียวกัน Nothing Phone (3) ก็ยังคงไว้ซึ่ง DNA ของ Nothing แบบเต็มเปี่ยม ทั้งการดีไซน์ที่เน้นเรื่องความโปร่งใส ลวดลาย เส้นต่าง ๆ ที่วาดพาดผ่านฝาหลังต่าง ๆ ไปจนถึงดวงไฟส่องสีแดง ที่จะติดก็ต่อเมื่อถ่ายวิดีโออยู่เท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่มีเฉพาะในเรือธงของ Nothing ก็ใส่มาครบถ้วน และใช้งานได้เหมือนกันเป๊ะ ๆ เลย
ส่วนโดยรอบตัวเครื่อง เอาจริง ๆ คือดีไซน์ก็ไม่ได้มีความหนีไปจากสมาร์ตโฟนที่ใช้วัสดุขอบเครื่องเป็นอะลูมิเนียมแบบแบน ที่จะต้องมีเส้นสายสัญญาณผ่าที่ขอบเครื่องรอบ ๆ ไป พร้อมกับการวางปุ่มต่าง ๆ ที่ก็จะเปลี่ยนแปรผันกันไปตามแต่ละแบรนด์ ซึ่งของ Nothing Phone (3) นั้น ได้เอาปุ่มเพิ่ม – ลดเสียงไว้ช่วงตรงกลาง และเอาปุ่มปลดล็อกหน้าจอ และ ‘Essential Key’ มาไว้ด้านขวาแทน (ยังใช้ดีไซน์ปุ่มที่นูนอยู่ เวลาสัมผัสเอาก็รู้ว่าต่างแน่ ๆ)
หรือจะเป็นเรื่องของงานประกอบ ที่ต้องขอชมเลยว่า หลังจากผ่านมานานกว่า 3 ปี ตั้งแต่ Nothing เริ่มทำสมาร์ตโฟนมา เรื่องของงานประกอบของตัวเครื่องสามารถทำได้ดีขึ้นเยอะมากจริง ๆ ทั้งการประกอบที่แน่น ไม่ก๊อกแก๊ก หรือจะเป็นลวดลายภายในฝาหลังที่ยังชัดเจน, การกันน้ำ กันฝุ่น ที่กันได้ระดับ IP68 และมอเตอร์สั่นที่สั่นได้แรง มั่นคง และหนักแน่นมากขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้า และใน 3a Series (ซึ่ง Nothing เป็นแบรนด์ที่เน้นเรื่องประสบการณ์การใช้ จนให้มอเตอร์สั่นตามแกนมาโดยตลอด) แต่น้ำหนักโดยรวมของตัวเครื่องจะรู้สึกหนักหน่อย แม้ตามหน้าสเปกแล้ว จะมีน้ำหนักที่ 218 กรัมก็ตาม
ย่อหน้านี้คงต้องเป็นย่อหน้าตัดสินว่านี่คือสิ่งที่สมาร์ตโฟนเรือธงควรจะเป็นไหม ในด้านการออกแบบ ในมุมมองของผู้เขียนแล้ว เรื่องของความเป็นเรือธงในดีไซน์ ถือว่าสอบผ่าน เพราะถ้าเรามองข้ามแค่เรื่องความไม่สมมาตรของกล้องถ่ายภาพไป งานดีไซน์โดยรวมของ Nothing ถือว่าพัฒนามาไกลมากเลยทีเดียว
แต่ใช่ว่าดีไซน์จะเป็นสิ่งที่รับได้ทุกคน นั่นคือความจริงที่ไม่อาจเลี่ยงได้ ดังนั้นเรื่องของดีไซน์ อยากให้คนอ่านทุกคนลองชั่งใจกันดูว่านี่คือดีไซน์ของตัวเครื่องที่เรารับได้หรือไม่ ?
ประเด็นที่เป็นที่ถกเถียงกันไม่ได้มีแต่เรื่องดีไซน์อย่างเดียว กระทั่งไฟ ‘Glyph Interface’ เอง ก็โดน Nothing ตัดออกไปแล้วเหมือนกัน !
นั่นคือสิ่งแรกที่ Nothing ปูทางมาด้วยการตลาดอย่างหนักหน่วง ว่าได้เอา ‘ไฟเส้น’ อันเป็นเอกลักษณ์ของ Nothing มายาวนานออกไป และใน Nothing Phone (3) ก็ได้นำของใหมในชื่อ ‘Glyph Matrix’ เข้ามาใส่แทนที่ Glyph Interface แบบเดิม ๆ
Glyph Matrix ไม่ใช่หน้าจอสักทีเดียว แต่คือดวงไฟสีขาวจำนวน 489 ดวงที่เรียงกันเป็นวงกลม และจะติดขึ้นเพื่อทำหน้าที่ ‘แปรอักษร’ ให้ออกมาเป็นรูปร่างต่าง ๆ ขึ้นมา อาจจะเรียกว่าเป็นหน้าจอความละเอียด 489 พิกเซลก็อาจจะไม่ได้ผิดนัก
พอเป็นหน้าจอที่แปรอักษรขึ้นมา สิ่งที่ Glyph Matrix ทำได้เลยเพิ่มขึ้นค่อนข้างเยอะมาก ๆ ตั้งแต่ระบบ Glyph Toy ที่ใช้ไฟ Glyph Matrix มาใช้เป็นลูกเล่นต่าง ๆ ทั้งโชว์เวลา, เกมหมุนขวดหาคนในวง(เหล้า)แบบสุ่ม, โชว์แบตเตอรี่, จับเวลา, ใช้เป็น Viewfinder กล้องหน้า, ดูตำแหน่งพระอาทิตย์, เป่ายิงฉุบ, วัดความราบของพื้น ไปจนถึง ‘Magic 8 Ball’ ที่ปกติฝรั่งชอบเอามาเขย่าเพื่อขอคำแนะนำได้ ซึ่งของเล่น Glyph Toy พวกนี้จริง ๆ เปิดกว้างมาก Nothing บอกว่าเป็น API แบบเปิด ที่สามารถพัฒนาจาก SDK ให้เป็นอะไรก็ได้ ที่แสดงอยู่บนจอ Glyph Matrix อันนี้
เวลาจะควบคุม เพื่อเปลี่ยนโหมดของ Glyph Toy แต่ละอย่าง ก็กดที่ ‘Glyph Button’ ที่เป็นปุ่มแบบสัมผัสรูปวงกลม ซึ่งถ้ามองด้วยตาเปล่า จะเห็นว่ามันนูนขึ้นมาชิดกับแผ่นกระจกฝาหลังของเครื่องนั่นเอง
ของพวกนี้คือสิ่งแรกที่เราจะเห็นได้เห็น และก็ต้องมีคำถามแน่ ๆ ว่า “ของพวกนี้มีไว้ทำไม ?”
ตอนแรกผู้เขียนก็มองว่ามันคือกิมมิคอย่างหนึ่ง จนกระทั่งตอนที่เราเข้าไปดูการตั้งค่าจริง ๆ เพราะว่าของเล่นเดิม ๆ จากระบบไฟ Glyph Interface ก็อยู่ครบถ้วน แถมยังใช้หน้าตาการกระพริบของหน้าจอใหม่ ที่จะเปลี่ยนไปตามเสียงที่เราเลือกไว้ได้ด้วย ทั้งการแจ้งเตือน และเสียงเรียกเข้า
รวมไปถึง ‘Essential Notification’ ที่เป็นระบบแจ้งเตือนสำคัญที่จะให้ขึ้นไฟเป็นรูปพิเศษค้างไว้ เวลามีแจ้งเตือนที่สำคัญเด้งขึ้นมา ก็ทำได้ลึกกว่าเดิม คือเรากำหนดกฎเอาไว้ แล้วเราก็ตั้งค่าให้แสดงขึ้นมาเป็นรูปที่กำหนดไว้ของ Nothing เอง หรือกระทั่งเราสามารถอัปโหลดภาพไอคอนของเราให้ขึ้นไปแจ้งเตือนเองก็ได้ (เช่นไอคอนไลน์ หรือกระทั่งไอคอนที่เราออกแบบเอง)
อ่านสิ่งที่ Glyph Matrix ทำได้ไปแล้ว ถามว่ารู้สึกว่าเป็นกิมมิคอยู่ไหม อาจจะมีบ้าง โดยเฉพาะการเปลี่ยนจากไฟที่ส่องสว่างเต็มหลังเครื่อง เหลือแค่จอวงกลมเล็ก ๆ ด้านบนขวาเท่านั้น แต่ถ้ามองลึกลงไปในแนวคิดของ Nothing ที่อยากจะให้เรา ‘คว่ำหน้าจอลง เพื่อให้มองจอน้อยลง’ เพื่อให้เราลด ละ เลิกอาการติดหน้าจอไปในตัวด้วย ถ้าให้มองในมุมนี้แล้ว Nothing ถือว่าพัฒนามาไกลมากขึ้นเยอะ เพราะถ้าเราปรับการตั้งค่า ตั้งกฎต่าง ๆ ที่ชัดเจนมากพอ จะทำให้อาการติดหน้าจอลดลงได้จริง ๆ แถมทำให้เราเกิดความเข้าใจในสิ่งที่ขึ้นมากล่าวเตือนเราได้มากขึ้นไปด้วย
เพียงแต่ว่า Glyph Matrix นี้ยังมีข้อสังเกตอีกไม่น้อย ทั้งเรื่องของขนาดที่เล็ก แม้จะขยายเพิ่มไม่ได้, การเชื่อมต่อกับแอปฯ ต่าง ๆ ภายในเครื่องที่ยังไม่ลื่นไหลมากนัก กระทั่งปุ่ม Glyph Button ที่ทำให้เราต้องทัชเข้าไปที่ปุ่มโดยตรง ทำให้ถ้าจะทำเคส ก็ต้องมีรูเพิ่มขึ้นอีกรู ตอนนี้รูของเคสมีทั้ง กล้อง 3 ตัว, แฟลช, หน้าจอ Glyph Matrix และปุ่ม Glyph Button จะยิ่งทำให้การออกแบบเคสทำได้ยากขึ้นไปอีก แถมการจะเปลี่ยนโหมดของเล่นแต่ละตัว ก็ไม่สามารถกดย้อนกลับได้ สมมติเล่นของเล่นเสร็จ จะกลับไปนาฬิกา ก็ต้องกดปุ่มเดิมซ้ำ ๆ ไป จนกลับมาที่นาฬิกาเหมือนเดิม
เพราะงั้น โดยรวม ๆ แล้ว Glyph Matrix เป็นของดีไหม ดีมาก ๆ และเป็นแนวคิดที่น่าสนใจด้วย เพียงแต่ว่า การจะทำให้ Glyph Matrix ใช้งานได้จริงสุด ๆ อาจจะต้องศึกษาเพิ่มอีกพอสมควรเลยทีเดียว แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีนะ
Nothing Phone (3) ให้หน้าจอมาที่ขนาด 6.67 นิ้ว และยังให้สเปกตามเรือธงปกติทั่วไปแบบที่เห็นกัน ทั้งพาแนล OLED, รีเฟรชเรต 120Hz และยังสว่างเฉพาะจุดสูงสุด 4500 nits (1600 nits ในโหมดความสว่างสูงสุด) ซึ่งทำใ่ห้สามารถแสดงผลหน้าจอที่ HDR10+ ได้ด้วย และยังให้สิ่งที่ Nothing ให้มาตลอดคือหน้าจอที่เป็นจอแบน และขอบหน้าจอที่เท่ากันทั้ง 4 ด้านอีกต่างหาก คือมองยังไงนี่มันก็จอเรือธงชัด ๆ !
แต่ถ้ามองลึกลงไป เราน่าจะได้เห็นความไม่เรือธงซ่อนอยู่ในหน้าจอค่อนข้างเยอะ อย่างเช่นกระจกหน้าจอที่ใช้ Corning Gorilla Glass 7i ที่เป็นกระจกจอที่ใช้ในสมาร์ตโฟนรุ่นกลาง หรืออย่างพาแนลจอ ที่มี PWM Dimming หรือการกะพริบหน้าจอที่ 960Hz เท่านั้น ซึ่งปัจจุบัน สมาร์ตโฟนจะมี PWM Dimming ที่สูงถึงหลัก 2160Hz หรือมากกว่ากันแล้ว แถมยังมีราคาถูกลงเรื่อย ๆ ด้วย
และอย่างสุดท้ายคือเรื่องของคุณภาพในเนื้อจอ ที่ถามว่าดูดีไหม ดีแน่นอน สีสวยไหม สวยแน่นอน ถ้าเราไม่ได้ลงลึก หรือถึงขั้นส่องลงไปตรง ๆ จนเห็นคุณภาพของสีว่าสีไม่ตรง ดูสดเกินไปหน่อย หรือดูอมเหลืองนิด ๆ เรื่องของหน้าจอถือว่ายังโอเคอยู่แน่นอน เพียงแต่จะให้เรียกว่านี่คือจอเรือธงอย่างเต็มภาคภูมิได้ไหม ก็อาจจะยังไม่ระดับนั้น
แล้วก็เรื่องของลำโพงที่ได้ให้เป็นลำโพงคู่แบบสเตอริโอ แล้ววางช่องลำโพงไว้ด้านบนและล่างของตัวเครื่องแบบตรง ๆ ทำให้การส่งเสียงของ Nothing Phone (3) นั้น ทำได้ดีเลยทีเดียว แม้จะเสียงไม่หนักแน่นมาก แต่ก็ยังส่งเสียงได้ดังและละเอียดอยู่
พาร์ตนี้คือส่วนสำคัญที่ทำให้ Nothing Phone (3) มาพร้อมดีไซน์ที่ดูแปลก ๆ เลยก็ว่าได้ นั่นคือกล้องถ่ายภาพ ซึ่ง Nothing Phone (3) คือสมาร์ตโฟนในตระกูลท็อปสุดของ Nothing รุ่นแรกที่ให้กล้องถ่ายภาพซูมเข้ามา ออกมาเป็นระบบกล้องถ่ายภาพแบบ 3 เลนส์ ที่ทุกเลนส์ความละเอียด 50 ล้านพิกเซลเท่ากันหมด รวมถึงกล้องหน้าเลย
สำหรับเหล่าเนิร์ดกล้องถ่ายภาพ เซนเซอร์กล้องถ่ายภาพแต่ละตัวให้มาตามนี้เลย :
ด้วยชื่อรุ่นเซนเซอร์ที่ให้มา ถามว่าเป็นระดับเรือธงไหม บางเซนเซอร์ถือว่าใช้ได้เลยนะ อย่างกล้องถ่ายภาพซูมที่ให้เซนเซอร์เท่ากับเรือธงบางรุ่นเลย แต่กล้องหลักอาจจะยังใช้เซนเซอร์ที่พบในสมาร์ตโฟนรุ่นกลางมากกว่า
แต่เรารู้กันอยู่แล้ว ว่าแค่เรื่องเซนเซอร์กล้องถ่ายภาพก็คงจะไม่พอ เรื่องของผลงานสิถึงจะใช้วัดผลได้้จริง ก่อนที่เราจะมาวิเคราะห์ภาพกัน อยากให้ลองดูภาพที่ถ่ายจาก Nothing Phone (3) เครื่องนี้ จากหลากหลายสถานการณ์กันก่อน (กดที่ภาพเพื่อดูภาพเต็ม ๆ กันด้วยนะ)
เวลาเราถ่ายภาพตอนกลางวัน ในสภาพแสงที่ดีพอ คุณภาพของกล้องถ่ายภาพ โดยเฉพาะการจูนความคมชัด ความตรงของสี และรายละเอียดต่าง ๆ บอกได้ตรง ๆ เลยว่าสามารถจูนสีได้ดีที่สุดที่ Nothing เคยทำมาเลยก็ว่าได้ คือ Nothing บอกว่าเขาใส่ ‘TrueLens Engine 4’ ซึ่งเป็นระบบการถ่ายภาพที่ปรับมาใหม่ทั้งหมดเลย เพื่อให้ได้ภาพที่ดูธรรมชาติมากขึ้น แล้วใช้ชิปในเครื่องช่วยประมวลผลผ่าน ISP (Image Signal Processing) ให้เร็วขึ้นไปด้วย ชัตเตอร์กล้องเลยเร็วไปด้วยเลย
แล้วก็ตอนที่เราถ่ายภาพด้วยกล้องถ่ายภาพมุมกว้างมาก ก็ได้คุณภาพของภาพที่ดีไม่ต่างกับกล้องถ่ายภาพระยะ 1 เท่ามากนัก ด้วยเซนเซอร์กล้องถ่ายภาพมุมกว้างมากที่ความละเอียด 50 ล้านพิกเซลเหมือนกัน แต่ภาพจะติดมืดกว่าหน่อย ๆ
อีกอย่างที่ Nothing ตัดสินใจเพิ่มเข้ามาสักที คือกล้องถ่ายภาพซูมแบบ Periscope ที่ Nothing ใส่มาเป็นขนาดเต็ม ไม่ใช่ไซซ์ย่อ เลยถ่ายภาพซูมในระยะใกล้ หรือโหมด ‘Telemacro’ ได้ด้วย ซึ่งการถ่ายภาพซูมในระใกล้ ๆ นั้น สามารถทำได้ดี และใกล้มาก ๆ ด้วย อยากถ่ายรูปวัตถุ ดอกไม้ แมลงแบบมาโครก็ถ่ายได้ดูดีเลย คือถ่ายที่ระยะ 3 เท่าได้เลย แต่ถ้าอยากถ่ายภาพให้ใกล้กว่านี้ก็ยังซูมเข้าไปได้อีกนะ
หรือจะเป็นการถ่ายซูมที่เอาจริง ๆ ในระยะที่เราใช้กันปกติ คือไม่เกิน 10 เท่าก็ถ่ายได้สนุกมาก ๆ เพราะว่ากล้องถ่ายภาพซูมก็ช่วยในการถ่ายภาพได้ดีมาก แปลว่าเราอยากถ่ายระยะใกล้หรือไกล ก็ไม่โดนจำกัดด้วยกล้องถ่ายภาพแล้วแน่นอน
เวลาซูมสามารถซูมภาพเข้าไปได้ลึกสุดที่ 60 เท่าด้วยกัน ซึ่งเวลาเราซูมตั้งแต่ 30 – 60 เท่า Nothing ก็มี AI ช่วยเพิ่มความละเอียดภาพตอนซุมให้ แล้วก็ได้ผลดีเหมือนกัน แต่ภาพจะดูหยาบ ๆ ฟีล AI อัปความละเอียดภาพพอสมควร แต่ดีกว่าไม่มี AI มาช่วยเพิ่มความละเอียดอะไรเลย
แต่ว่าปัญหาใหญ่ที่สุดน่าจะเป็นเรื่องการถ่ายภาพกลางคืนมากกว่า ถ้าจะเรียกว่าเป็นสมาร์ตโฟนเรือธง เรื่องการถ่ายภาพอาจจะต้องมาพร้อมกับกล้องที่ค่อนข้างรอบด้าน แต่ในเวลาที่ทดสอบ Nothing Phone (3) เครื่องนี้อยู่ เวลาถ่ายภาพกลางคืน ภาพจะดูมีความวุ้นขึ้นมาเล็กน้อย และมีสีที่ค่อนข้างหลุดจากความเป็นจริงอยู่เล็กน้อย (คาดว่าน่าจะมาจากการวัดแสงที่ยังไม่เป๊ะนัก) แต่ถ้าตามสไตล์ Nothing แล้ว ยังไงก็จะต้องออกอัปเดตมาแก้เรื่องนี้แน่ ๆ
ส่วนเรื่องการถ่ายภาพคน เอาจริง ๆ ถามว่าถ่ายสวยไหม ต้องบอกว่าถ่ายสวย ในมุมการถ่ายภาพคนให้ดูสมจริง มากกว่าการเน้นถ่ายภาพคนให้ออกมาดูฟรุ้งฟริ้งแบบสมาร์ตโฟนหลาย ๆ ค่าย ดังนั้น ถ้าถามว่าเรื่องการทำบิวตี้ของกล้องทำได้ดีไหม อาจจะยังไม่มาก แต่ถ้าเรื่องการถ่ายภาพคน ตัดขอบเส้นผม อาจจะยังไม่เพอร์เฟคมากนัก
ที่ต้องมานั่ง Pixel Peeping (ส่องภาพทีละพิกเซล แบบละเอียดเกินไป) นั่นก็เป็นเพราะเรากำลังตัดสินกล้องของ Nothing Phone (3) แบบสมาร์ตโฟนเรือธงแบบเต็มขั้น ซึ่งถ้าถามว่านี่คือกล้องของสมาร์ตโฟนเรือธงไหม อาจจะยังเรียกได้ เพียงแต่ในบางโหมดอาจจะไม่เก่งเท่าคู่แข่งเท่านั้นเอง
Nothing Phone (3) ได้ให้ชิปมา ‘เกือบ’ จะเรือธง เป็นชิปเซต Snapdragon 8s Gen 4 ซึ่งถ้าถามกันเรื่องความแรง ก็ถือว่าแรงใช้ได้เลยทีเดียว อาจจะเป็นรอง Snapdragon 8 Elite อยู่บ้าง แต่ในด้านประสบการณ์การใช้งาน ไม่น่าจะส่งผลมากขนาดนั้น
เพียงแต่ว่า ‘Snapdragon 8s Gen 4’ คือชิปที่เรามักจะพบเห็นในสมาร์ตโฟนสายคุ้มจากคู่แข่งมากกว่า อย่างเช่น POCO F7, iQOO Neo 10 หรือกระทั่งมือถือสายคุ้มที่ขายจีนอย่าง OPPO K13 Turbo Pro ซึ่ง Nothing (Carl Pei) ก็ออกมาบอกเองว่าตอนทดสอบลองเล่นเกมจริง แม้ชิป 8 Elite จะเล่นได้ดีกว่า แต่ถ้าเทียบ ๆ กันแล้ว ผลก็ไม่ได้ออกมาแตกต่างขนาดนั้น
เรื่องนี้ ไม่ทดสอบดูแล้วจะรู้ได้อย่างไรกัน ?
ซึ่งจากที่เราได้ทดสอบผ่าน Benchmark Tools หลาย ๆ ตัว ทั้ง Geekbench, AnTuTu, 3DMark ก็พบเลยว่าถ้าชนคะแนนกันอย่างจัง ตัวเลขจะแตกต่างบ้างเล็กน้อย อย่าง Geekbench 6 ที่คะแนน CPU Multi Core น้อยกว่า 8 Elite อยู่ประมาณ 2000 คะแนน
แต่ที่น่าสนใจคือเรื่องของ ‘กราฟิก’ ที่เหมือนว่า NothingOS เวอร์ชันที่ใช้ทดสอบอยู่นี้ จะใส่เต็มเรื่องการเร่งประสิทธิภาพมาก ๆ จนตอนทดสอบ เกิดความร้อนค่อนข้างสูง เพราะตัวเครื่องได้เปิดใช้ Game Mode ในการทดสอบทั้งผ่าน AnTuTu และ 3DMark ส่งผลให้คะแนนทดสอบ 3DMark Wild Life Stress Test ที่ความนิ่ง 81.2% แต่คะแนนสูงสุดมากถึง 15,850 คะแนนได้ แลกมากับอุณหภูมิที่พุ่งขึ้นไป 52 องศาเลย (แต่ 8 Elite จะได้คะแนนสูงกว่า และร่วงลงมาใกล้ ๆ กันช่วงท้าย ๆ) หรืออย่าง AnTuTu ที่ทำคะแนนไปได้ 1,940,965 คะแนนเลย ถือว่าแรงมากอยู่ เพราะชิป 8 Elite จะทำคะแนน AnTuTu ได้อยู่ประมาณ 2 ล้านนิด ๆ
ทั้งนี้ ก็มีรายงานมาเหมือนกันว่าตัวเครื่องในซอฟต์แวร์เวอร์ชันนี้ ค่อนข้างร้อนมาก จนทำให้การทดสอบ Benchmark ไม่ผ่านได้เลยเหมือนกัน ซึ่งจากที่ได้ลองมา มีการทดสอบบางชุดที่ยังไม่ผ่านในบางครั้งเช่นกัน โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่อากาศร้อน
ซึ่งผลการทดสอบนี้ก็ส่งผลมาถึงการใช้งานจริงด้วย เพราะเมื่อเราทดลองนำ Nothing Phone (3) เครื่องนี้มาเล่นเกมดู ก็พบว่าตัวเครื่องเกิดความร้อนค่อนข้างสูงโดยเฉพาะเมื่อเล่นเกมที่ต้องการประสิทธิภาพของกราฟิกเยอะ ๆ เช่น Genshin Impact ซึ่งแลกมาด้วยเฟรมเรตของเกมที่นิ่งใช้ได้ แต่ถ้าเป็นเกมเบาหน่อยอย่าง RoV ตัวเครื่องก็จะไม่เกิดความร้อนมากนัก
เรื่องประสิทธิภาพของตัวเครื่องนั้น ยังไม่อาจจะเรียกว่าเรือธงได้อย่างเต็มภาคภูมิมากนัก เพียงแต่ว่า ด้วยการปรับแต่งประสิทธิภาพของซอฟต์แวร์ในเครื่องที่ดีพอ เรื่องประสิทธิภาพและการใช้งานจริง ๆ เห็นจะเรียกได้ว่าเป็นสมาร์ตโฟนที่ให้ประสบการณ์ ‘เกือบ’ จะเรือธงได้แล้วจะดีกว่า
เมื่อต้นปีที่เราได้รีวิว Nothing Phone (3a) ไป เราได้พูดถึงหัวข้อ ‘AI แบบ Nothing’ ที่ Nothing ได้เริ่มใส่ ‘Essential Space’ และ ‘Essential Key’ ให้เราใช้ AI กับการ ‘บันทึก’ ในรูปแบบใหม่ โดยใช้ AI เข้ามาช่วยเหลือให้ชีวิตของเราง่ายขึ้นได้จริง ๆ
ใครที่ยังจำไม่ได้ว่า ‘Essential Space’ นี่คืออะไรกัน อธิบายง่าย ๆ ว่า Nothing เขาสร้าง ‘Essential Key’ ขึ้นมาเพื่อเป็นสะพานเชื่อมระหว่างข้อมูลบนหน้าจอกับความเข้าใจของผู้ใช้ ที่พอเรากดปุ่ม ภาพหน้าจอก็จะถูกบันทึกและส่งไปยัง ‘Essential Space’ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ AI จะเข้ามาทำหน้าที่ถอดรหัส และสกัดแก่นของข้อมูลออกมา ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนภาพโปรโมตคอนเสิร์ตให้กลายเป็นนัดหมายพร้อมรายละเอียดสำคัญ หรือแปลงข้อมูลการสมัครวีซ่าที่ละเอียด ให้กลายเป็นรายการสิ่งที่ต้องทำได้ แล้วก็ยังสามารถกดปุ่มค้างเพื่อบันทึกเสียงประกอบภาพ เพิ่มบริบทและความหมายให้กับทุกข้อมูลที่บันทึกไว้ ให้การบันทึกเป็นสัดส่วน เป็นระเบียบมากขึ้นได้ ซึ่งถามว่าได้ใช้จริงไหม ถ้าเราหัดใช้อีกสักหน่อย การจัดระเบียบความคิดเราจะดีขึ้นเยอะแน่นอน
แต่นั่นมันของเก่า เรามาพูดถึงของใหม่กันดีกว่า
เริ่มจาก Glyph Matrix ที่ได้เพิ่มฟีเจอร์ Flip to Record เข้ามา ด้วยการกดค้างที่ปุ่ม Essential Key ระหว่างที่เรากำลังคว่ำเครื่องไว้อยู่ ตัว Glyph Matrix จะขึ้นเป็นกราฟเสียงว่ากำลังอัดเสียง และไฟแดงที่ปกติจะขึ้นตอนถ่ายวิดีโอก็จะติดไปด้วย เพื่อเริ่มอัดเสียง ถอดเสียง แล้วสรุปเนื้อหาการประชุมให้เราได้เลย เป็นฟีเจอร์ที่น่าสนใจมาก เพราะว่า Essential Space คือพื้นที่ที่เราเก็บความทรงจำ หรือกระทั่งการประชุมงานต่าง ๆ อยู่แล้ว การอัดเสียงผ่านทางนี้นอกจากจะลดการรบกวนการทำงานแล้ว ยังสะดวกสุด ๆ ด้วย
Nothing ได้เพิ่ม ‘Essential Search’ ที่เป็นเครื่องมือค้นหาสารพัดนึก แค่เราลากขึ้นมา พิมพ์ค้นหา ไม่ว่าจะเป็นภาพที่เราถ่ายไว้, การตั้งค่า, หาแอปฯ, เบอร์โทรศัพท์, สภาพอากาศวันนี้ หรือแค่อยากถามคำถามที่อยู่ ๆ ก็เกิดสงสัยขึ้นมาว่า ‘ถ้าเราขับรถจากโลกไปดวงจันทร์ต้องใช้เวลากี่วัน’ ก็แค่หาในที่เดียวนี้ได้เลย เพราะใช้ AI ช่วยหาให้ในอะไรที่ลึกกว่าแค่ภาพถ่าย แอปฯ หรือการตั้งค่า แค่เราลากขึ้นมา แถบค้นหานี้ก็พร้อมใช้เลย
เพียงแต่ว่า อะไรที่ว้าวมาก ๆ ทั้งหาสภาพอากาศ หรือการถามคำถามต่าง ๆ ประเทศไทยยังใช้ไม่ได้นะ
ตอนแรกก็ค้นหาอย่างละเอียดเลยว่าโหมดนี้ทำงานอย่สงไร โดยเฉพาะตอนที่ผู้เขียนได้ศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมผ่านรีวิวจากต่างประเทศ แต่เวลาลองทำตาม กลับไม่ได้ผล หลังจากลองค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมในเว็บไซต์ Nothing เอง ก็พบว่า ‘Essential Search นั้น สามารถใช้ได้แค่ในประเทศออสเตรเลีย, บราซิล ,EEA (European Economic Area – เขตเศรษฐกิจยุโรป), อินเดีย, ตุรกี, สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกาเท่านั้น’ ยังใช้ในไทยไม่ได้ ทำให้ในไทยในตอนที่กำลังเขียนรีวิวนี้อยู่ จะสามารถหาได้เฉพาะภาพถ่าย, แอปฯ, เบอร์โทรศัพท์ หรืออะไรที่เป็นพื้นฐานเท่านั้น
เพราะงั้นแล้ว ถามว่า Nothing Phone (3) มี AI ใหม่ที่น่าสนใจอย่างที่คาดหวังไหม ก็คงจะยังไม่ขนาดนั้น แต่ที่สำคัญคือยังไม่มี AI ทั้งในด้านการแต่งภาพ หรือกระทั่งการจัดหน้าโน้ตในแอปฯ ที่เคยบอกไว้ในรีวิวของรุ่น Phone (3a) ซึ่งปัจจุบันน่าจะเป็นฟีเจอร์ที่คนใช้ค่อนข้างเยอะ และด้วยความที่ Nothing บอกว่านี่คือ ‘เรือธง’ แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะสงสัยถึงฟีเจอร์ที่หายไปเหล่านี้
แต่ถ้ามองข้ามทุกสิ่งทุกอย่างไป ความดีงามที่สุดของ Nothing Phone (3) เครื่องนี้ ก็ยังคงเป็นซอฟต์แวร์ Nothing OS ที่ยังคงทำตามเป้าหมายเดิม ทั้งความมีสติ (Mindful) ที่จะให้เราลดการจดจ่อในหน้าจอ ด้วยไอคอนโทนขาว-ดำ หรือจะเป็นดีไซน์ UX และ UI ต่าง ๆ ที่อาจจะดูยาก ดูใช้งานลำบาก แต่ก็มีความเท่ ความสวยงามของตัวเอง และมีความหมาย แถมประสบการณ์ก็ใกล้ Pure Android สุด ๆ และที่สำคัญคือไม่มี Bloatware หรือแอปฯโฆษณาใด ๆ เลย เรื่องซอฟต์แวร์ของ Nothing ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน ก็จะยังคงมีที่พิเศษอยู่ในใจเสมอ
อีกเรื่องที่ Nothing บอกว่าขยับเพิ่มมาแล้ว คือเรื่องของแบตเตอรี่ ที่ได้เปลี่ยนเทคโนโลยีไปใช้แบตเตอรี่ซิลิคอน-คาร์บอนแล้ว แปลว่าขนาดของแบตเตอรี่ก็จะลดลงไปพร้อมกับความจุที่เพิ่มขึ้นตามมาตรฐานสมาร์ตโฟน (โดยเฉพาะค่ายจีน) ในปัจจุบัน แต่กลายเป็นว่า Nothing Phone (3) นั้น ให้แบตเตอรี่มาที่ขนาด 5,150 mAh เท่านั้น (และมีแค่โมเดลอินเดียที่ได้แบตเตอรี่ขนาด 5,500 mAh) ซึ่งเป็นไปได้ว่าจะเกิดปัญหาในด้านการขนส่ง เพราะสมาร์ตโฟนที่จะขายในอเมริกาได้ จะต้องมีความจุแบตเตอรี่ที่ไม่เกิน 20 Wh ไม่งั้นจะถูกจัดเป็นสินค้าอันตรายประเภทที่ 9 ทันที ขนาดของแบตเตอรี่เลยมากกว่านั้นไม่ได้ และสมาร์ตโฟนแบรนด์จีนบางรุ่นเลยขายอเมริกาไม่ได้ด้วยนั่นเอง
พอขนาดของแบตเตอรี่ไม่ได้เยอะมาก ประสบการณ์การใช้งานแบตเตอรี่ของ Nothing Phone (3) นั้นถือว่าหนักหน่วงใช้ได้ ผู้เขียนได้ลองเอา Nothing Phone (3) ไปเที่ยว ลองใช้งาน ถ่ายรูปจริงจังตลอดวัน พบว่าแม้จะเปิดหน้าจอแค่ประมาณ 2 ชั่วโมง แต่ใช้งานตลอดวัน แบตเตอรี่ก็ลดไปแล้วกว่าครึ่งนึง แน่นอนว่าการใช้งานแบตเตอรี่ขึ้นกับแต่ละคนที่นำเครื่องไปใช้ แต่ว่าถ้าตามมาตรฐานแล้ว ตอนนี้แบตเตอรี่ถือว่าไหลพอสมควร ที่สำคัญคือถ้าเล่นเกมหนัก ๆ เช่น Genshin Impact แบตเตอรี่ก็ลดค่อนข้างไวเช่นกัน ด้วยความร้อนของตัวเครื่องที่เกิดเพิ่มขึ้น
ส่วนเรื่องการชาร์จแบตเตอรี่กลับ ถือว่าให้มาเยอะใช้ได้ ที่ 65W แถมยังเป็นการชาร์จแบบ PD หมายความว่าถ้าเรามีอะแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่ที่รองรับมาตรฐาน PD เราก็จะมีอะแดปเตอร์ที่พร้อมชาร์จเร็วแล้ว แม้จะเลิกแถมหัวชาร์จในกล่องแล้วก็ตาม ส่วนการชาร์จแบตเตอรี่ไร้สาย สามารถชาร์จได้ที่ 15W อาจจะไม่ได้เยอะมาก แต่ข้อดีคือเราจ่ายไฟกลับไปให้หูฟังไร้สายของ Nothing หรืออุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ที่รับการชาร์จไร้สายได้ด้วย
อ่านมาจนถึงตรงนี้ น่าจะได้เห็นกันว่าผู้เขียนได้สอดแทรกการตั้งคำถามว่า ‘นี่คือมือถือเรือธงจริง ๆ ไหม’ ถ้าเรียกว่านี่คือสมาร์ตโฟนเรือธง ต้องบอกตรง ๆ ว่า Nothing Phone (3) นั้นแค่ ‘เกือบจะ’ เป็นเรือธงเท่านั้น ซึ่ง ถ้าว่ากันตรง ๆ แล้ว Nothing เองก็น่าจะต้อง ‘แบกรับ’ ความเป็นเรือธงนี้เอาไว้มากอยู่เหมือนกัน ทั้งที่ Nothing ห่างหายจากการออกสมาร์ตโฟนเรือธงมากว่า 2 ปี และออกมาแต่สมาร์ตโฟนทั้งรุ่นกลาง และรุ่นประหยัดมาหลายรุ่น แต่ทั้งราคา แนวทาง และการที่จะ ‘สร้าง’ สมาร์ตโฟนเรือธงขึ้นมา 1 รุ่นนั้น จะต้องแบกรับความคาดหวังของเรือธงเอาไว้ไม่น้อยเลย
แต่ถ้ามองว่านี่คือมือถือนอกกระแส ที่ใครก็ตามที่อยากจะได้สมาร์ตโฟนที่ ‘แตกต่าง’ อยากได้สมาร์ตโฟนที่เป็นตัวเอง ไม่เหมือนใคร และไม่อยากเป็นคนธรรมดาทั่วไป แต่อยากได้มือถือที่ดีพอจะเป็นเครื่องหลัก เป็นเครื่องที่ต้องทำทุกอย่างได้ Nothing Phone (3) คือสมาร์ตโฟนของ Nothing ที่ดีที่สุด และอัปเกรดมามากที่สุด และไกลที่สุดที่ Nothing เคยทำมา
เพราะท้ายที่สุดแล้ว สำหรับบางคน การเลือกสมาร์ตโฟน ไม่ใช่การตามหาผู้นำ แต่คือการประกาศตัวตนต่างหาก
Nothing Phone (3) ขายในบ้านเรา 2 ความจุด้วยกัน คือ
โดยได้มีการเปิดให้จองดังนี้
ซึ่งวางจำหน่ายผ่านช่องทางต่าง ๆ คือ
Nothing บอกว่าได้อัปเกรดระบบบริการหลังการขายมาใหม่ด้วยนะ โดยได้เพิ่มการบริการมาใหม่ คือ :
Nothing Phone (3) กลับมาทวงบัลลังก์สมาร์ตโฟน 'เรือธง' ของแบรนด์ หลังจากห่างหายไปนานเกือบ 2 ปี มาพร้อมของใหม่อย่าง Glyph Matrix นวัตกรรมไฟแจ้งเตือนรูปแบบใหม่, ชิปเซต Snapdragon 8s Gen 4, กล้องซูม Periscope ครั้งแรกในเรือธง แต่ถึงแม้จะเคลมว่าเป็นเรือธง Nothing Phone (3) ก็ยังคงมีจุดสังเกตในหลายจุด นี่คือสิ่งที่ Nothing ต้องเผชิญในฐานะสมาร์ตโฟนเรือธงจริงจังครั้งแรกของค่าย