จากประเด็นที่มีคนแชร์ภาพสายชาร์จ USB-C ของ Apple เทียบกับสาย USB-C ทั่วไปว่ามีจำนวน Pin หรือลิ้นโลหะในพอร์ตไม่ครบ 24 พินเหมือนสาย USB-C ทั่วไป สู่ประเด็นเรื่องการกั้กของแอปเปิ้ล บทความนี้เราจะอธิบายว่าทำไมแอปเปิ้ลถึงตัดสินใจแบบนี้ และเล่าข้อเท็จจริงในโลกของ Android ที่ว่าชาร์จเร็ว มีอะไรบ้างที่ไม่ค่อยได้รับการพูดถึงกัน
เห็นพอร์ต USB-C เล็กแค่นั้น แต่ภายในออกแบบมารองรับการใช้งานหลายหลากมากด้วยขั้วเชื่อมต่อภายใน 24 พิน แต่ไม่จำเป็นว่าจะต้องใช้งานครบทั้ง 24 พินเพื่อให้สายนั้นทำงานได้ ซึ่งสายนั้นจะมีกี่พิน ขึ้นอยู่กับการออกแบบว่าให้น้ำหนักกับอะไร
อย่างสาย USB-C ของแอปเปิลที่มาในกล่อง iPhone มีวัตถุประสงค์ชัดเจนว่าต้องการให้สายชาร์จไฟเป็นหลัก การส่งข้อมูลเป็นเรื่องรอง รองรับแค่ USB 2.0 ความเร็ว 480 Mbps ก็พอ จึงดีไซน์ให้มีพินไม่ครบเพื่อให้สายชาร์จมีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา พกง่าย เพราะไม่จำเป็นต้องใส่สายไฟย่อยภายในจนครบทุกเส้น และแน่นอนว่าต้นทุนการผลิตสายก็ลดลง
หน้าที่ของแต่ละพิน USB-C
โดยพอร์ต USB-C ที่หัวชาร์จ กับพอร์ต USB-C ที่ปลายทางบนอุปกรณ์ต่าง ๆ พินก็จะทำหน้าที่ต่างกันอยู่นิดหน่อย โดยที่หัวชาร์จจะมีพิน VCONN เพื่อสื่อสารกับชิป eMarker ส่วนที่อุปกรณ์ปลายทางจะไม่จำเป็นต้องมี
ความซับซ้อนของ USB-C ที่มีรายละเอียดมากมาย ทำให้สาย USB-C ที่แม้หน้าตาเหมือนกัน แต่ก็มีคุณสมบัติต่างกัน การซื้อสายมาใช้จึงต้องพิจารณารายละเอียดเหล่านี้ให้ชัดเจนก่อนซื้อ
ข้อเท็จจริง: สมาร์ตโฟนที่แถมสายชาร์จมาในกล่อง เรายังไม่เจอสมาร์ตโฟนรุ่นไหนที่แถมสาย USB-C 3.0 มาให้ แม้ว่าจะเป็น Android รุ่นเรือธง คาดว่าผู้ผลิตมีการเก็บข้อมูลว่าคนส่วนใหญ่ใช้สายที่มาในกล่องเพื่อชาร์จ ไม่ได้ใช้โอนข้อมูล การแถมสาย USB-C 3.0 จึงเป็นการเพิ่มต้นทุนโดยที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้
ผู้ใช้ที่ต้องการใช้ความเร็วระดับ USB 3.0 จึงจำเป็นต้องซื้อสาย USB-C อีกชุดที่เร็วกว่า และหนากว่าเส้นที่แถมในกล่อง
ข้อเท็จจริง: การย้ายข้อมูลระหว่าง iPhone เครื่องเก่าไปเครื่องใหม่ด้วยสายนั้นเร็วกว่าไร้สายจริง และการใช้สาย Thunderbolt ก็ทำให้โอนข้อมูลได้เร็วกว่าสายที่แถมในกล่องจริง แต่ก็เป็นการลงทุนที่เกินสเปกไป เพราะ iPhone Pro รองรับแค่ USB 3 อย่าง iPhone 16 Pro รองรับ USB 3.2 Gen 2 ความเร็ว 10 Gbps จึงใช้สาย USB-C ความเร็ว 10 Gbps ก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องซื้อสาย Thunderbolt ราคาหลายพันมาโอนข้อมูล
และถ้าโอนข้อมูลระหว่าง iPhone รุ่นธรรมดาที่ไม่ใช่ iPhone Pro ก็ใช้สายแถมในกล่องก็พอแล้ว เพราะรองรับความเร็วแค่ USB 2.0
ข้อเท็จจริง: เรื่องนี้เราอธิบายไปแล้วในย่อหน้าบน สาย USB-C จำนวนมากที่ขายในตลาด ก็ไม่รองรับ USB 3.0 เพราะต้นทุนสูงกว่าสาย USB 2.0 เห็นสายรองรับ 240 W ส่วนใหญ่ก็รองรับแค่ 2.0 ยกเว้นที่เขียนไว้หน้ากล่องชัดเจนว่า USB 3.0
ข้อเท็จจริง: Android ให้กำลังในการชาร์จสูงกว่า iPhone จริง แต่การชาร์จเร็วของ Android โดยเฉพาะแบรนด์จีนที่มีเทคโนโลยีการชาร์จของตัวเอง ส่วนใหญ่มีเงื่อนไขว่าจำเป็นต้องชาร์จด้วยหัวชาร์จของค่าย เช่นเทคโนโลยี OPPO SuperVOOC, Vivo FlashCharge, Xiaomi HyperCharge ถ้าไปใช้หัวชาร์จทั่วไปที่รองรับมาตรฐานกลางอย่าง USB-PD ความเร็วในการชาร์จจะตกลงมาก จนได้ความเร็วไม่ต่างจาก iPhone มากนัก
ผู้ใช้ Android ที่ใช้มาตรฐานการชาร์จเร็วเฉพาะตัว และอยากชาร์จเร็วตลอดเวลา จึงต้องพกหัวชาร์จเทคโนโลยีของตัวเองติดตัวไปด้วย และยังมีความซับซ้อนในเทคโนโลยีชาร์จเร็วเหล่านี้ลึกแตกแขนงจาก USB-PD ลงไปอีก เช่น OPPO SuperVOOC ที่ผ่านมาจะใช้หัวชาร์จเป็น USB-A แล้วใช้สาย USB-A to USB-C เพื่อชาร์จเร็วเข้าสมาร์ตโฟน แต่ก็มีหัวชาร์จรุ่นใหม่ของ OPPO ที่เป็นหัว USB-C เช่นกัน ซึ่งจะลดภาระการพกสาย USB-A ของผู้ใช้ไปได้
แต่ก็ใช่ว่าสมาร์ตโฟนจีนทุกตัวจะชาร์จ USB-PD ช้ากว่าเทคโนโลยีของตัวเอง เพราะล่าสุด Xiaomi 17 รองรับ USB-PD PPS ที่กำลังชาร์จสูงสุด 100W แล้ว ทำให้สะดวกในการหาหัวชาร์จในท้องตลาดมากขึ้น