vivo เปิดตัว OriginOS 6 (บนพื้นฐานของ Android 16) เวอร์ชันใช้ทั่วโลกอย่างเป็นทางการ โดยจะยุติการใช้ FuntouchOS สำหรับสมาร์ตโฟนนอกประเทศจีน และหันมาใช้ OriginOS 6 เป็นระบบปฏิบัติการมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก เริ่มต้นด้วยสมาร์ตโฟน vivo X300 series ที่จะติดตั้งมาให้จากโรงงาน และจะเริ่มปล่อยอัปเดตให้รุ่นปัจจุบันตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนนี้เป็นต้นไป
การตัดสินใจครั้งนี้ จะลดความสับสน และสร้างประสบการณ์ใช้งานที่เป็นหนึ่งเดียวให้กับผู้ใช้ vivo ทั่วโลก หลังจากที่ผ่านมาสมาร์ตโฟนเวอร์ชัน International (รวมถึงประเทศไทย) จะใช้ FuntouchOS ซึ่งมักถูกมองว่ามีหน้าตาการใช้งานที่ดูล้าสมัยกว่า OriginOS ในขณะที่ OriginOS ที่มีฟีเจอร์ และความสวยงามมากกว่า จะจำกัดอยู่แค่ในตลาดประเทศจีนเท่านั้น ตอนนี้เลยเรียกได้ว่าทุกคนที่ใช้ vivo จะใช้ซอฟต์แวร์เวอร์ชันเดียวกันทั้งหมดแล้ว
โดย OriginOS 6 นั้น มาพร้อมการยกเครื่องหน้าตาการใช้งานใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่หน้าจอตั้งค่า, แถบแจ้งเตือน ไปจนถึงศูนย์ควบคุม (Control Center) ที่ดูทันสมัยขึ้นอย่างชัดเจน มีการใช้เอฟเฟกต์ ‘Gradient Blur’ ที่ทำให้การแสดงผลดูมีมิติ และนุ่มนวลมากขึ้น พร้อมทั้งออกแบบสัญลักษณ์ และไอคอนใหม่กว่า 2,800 นอกจากนั้น ยังได้อัปเดตฟอนต์ ‘vivo Sans’ ให้รองรับภาษามากขึ้นเป็น 378 ภาษา รวมถึงภาษาไทยอย่างเต็มรูปแบบ มาใช้เป็นฟอนต์หลักของระบบด้วย
สำหรับฟีเจอร์เด่นที่เพิ่มเข้ามา และจะเป็นของใหม่สำหรับผู้ใช้ FuntouchOS เดิม คือ ‘Origin Island’ แถบสีดำรอบกล้องหน้าที่สามารถแสดงสถานะการทำงานของแอปต่าง ๆ แบบไดนามิก, ‘Flip Cards’ ที่ให้ผู้ใช้เลือกรูปภาพ 4 รูป มาสลับเปลี่ยนบนหน้าจอล็อกตามการเอียงของเครื่อง และ ‘Private Space’ พื้นที่ส่วนตัวสำหรับเก็บข้อมูล และแอปพลิเคชันที่ละเอียดอ่อนให้ปลอดภัย รวมถึงสามารถโคลนแอปโซเชียลเพื่อแยกบัญชีส่วนตัวและบัญชีงานได้ด้วย
ด้านประสิทธิภาพ vivo ระบุว่า OriginOS 6 ได้รับการปรับปรุงในระดับแกนหลักของระบบ Android ด้วยเทคโนโลยี ‘Ultra-Core computing’ ที่ช่วยให้เปิดแอปเร็วขึ้น 18.5%, ‘Memory Fusion’ ที่สามารถเปิดอัลบั้มรูป 5,000 รูปได้เร็วขึ้น 106% และเก็บแอปในพื้นหลังได้สูงสุด 47 แอปฯ นอกจากนี้ยังให้คำมั่นสัญญา ว่าสมาร์ตโฟนเรือธงจะมอบประสบการณ์ใช้งานที่ลื่นไหลเหมือนใหม่ได้ยาวนานถึง 5 ปี โดย vivo X300 ได้รับการรับรองมาตรฐานการใช้งานลื่นไหล 5 ปีนี้จาก SGS แล้วด้วย
นอกจากนั้น ฟีเจอร์ AI ก็ได้อัปเดตมาเพิ่มด้วยเช่นกัน โดยมีทั้งผู้ช่วยเขียน AI สำหรับสรุปเนื้อหาและพิสูจน์อักษร, ‘AI Captions’ สำหรับถอดเสียง และแปลภาษาแบบเรียลไทม์, เครื่องมือแก้ไขเอกสาร vivo DocMaster และฟังก์ชันแก้ไขรูปภาพด้วย AI ที่ถูกจัดระเบียบให้ใช้งานง่ายขึ้นในแกลเลอรี พร้อมทั้งเพิ่ม ‘vivo Connection Center’ เป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อกับ PC และอุปกรณ์อื่น ๆ
โดยจากที่มีข่าวว่า vivo X300 จะเชื่อมต่อได้ทั้ง iPhone, iPad, Mac, AirPods และ Apple Watch นั้น ทาง vivo บอกว่าจะยังไม่รองรับ iPhone, iPad, AirPods และ Apple Watch แต่จะรองรับแค่การเชื่อมต่อกับ Mac เท่านั้นในตอนนี้ และได้ยืนยันว่า OriginOS 6 เวอร์ชัน Global จะมีความเหมือนกันกับ OriginOS 6 เวอร์ชันจีนประมาณ 90% เลยทีเดียว
สำหรับกำหนดการอัปเดต vivo จะเริ่มปล่อย OriginOS 6 ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนให้กับรุ่น X Fold5, X200, X200 Pro, X200 FE, V60 series และ iQOO 13 ตามด้วยกลุ่มที่สองในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน ได้แก่ X Fold3 Pro, X100 series และ iQOO 12 ก่อนจะขยายไปยังรุ่นอื่น ๆ เพิ่มเติมในเดือนธันวาคมและช่วงครึ่งแรกของปี 2569 ต่อไป