iPhone 17 Pro และ iPhone 17 Pro Max คือการกลับมาพร้อมการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ Apple ได้ทิ้งวัสดุไทเทเนียมที่ใช้มาสองปีแล้วหวนคืนสู่ ‘อะลูมิเนียม’ ในดีไซน์ที่เน้นความทนทานและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น แม้จะแลกมากับตัวเครื่องที่หนาและหนักขึ้นอย่างรู้สึกได้ แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในคือระบบกล้องที่ยืดหยุ่นที่สุด ชิป A19 Pro ที่ทรงพลัง และการจัดการความร้อนที่เหนือชั้น บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกทุกมิติว่าไอโฟนที่ทรงพลังที่สุดรุ่นนี้คุ้มค่าหรือไม่
การกลับมาใช้อะลูมิเนียมอาจทำให้ความรู้สึก “หรูหรา” ลดลงไปบ้าง แต่ Apple ชดเชยด้วยการเสริมความแข็งแกร่งรอบด้าน กระจกหน้าเป็น Ceramic Shield 2 ที่ทนรอยขีดข่วนได้ดีขึ้น 3 เท่า ส่วนกระจกหลังใช้ Ceramic Shield รุ่นแรกที่ขึ้นชื่อเรื่องความทนทานต่อการแตกร้าวมากกว่ากระจกหลังเดิมถึง 4 เท่า
ตัวเครื่องมีขนาดจอ 6.3 นิ้ว และ 6.9 นิ้ว แต่สิ่งที่รู้สึกได้ชัดเจนคือความหนาที่เพิ่มขึ้นเป็น 8.75 มม. (จาก 8.25 มม.) และน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย (Pro หนัก 204 กรัม, Pro Max หนัก 231 กรัม) เมื่อถืออยู่ในมือจะรู้สึกได้ถึงความแน่นหนาและบึกบึน
สำหรับสีสัน ปีนี้มีสีส้มคอสมิก (Cosmic Orange) เป็นสีชูโรงที่ค่อนข้างฉูดฉาด ใครที่ชอบความเรียบง่ายยังมีสีเงินและสีน้ำเงินเข้มเป็นตัวเลือกที่สบายตากว่า
นี่คือการอัปเกรดที่สำคัญที่สุดของ iPhone 17 Pro แผงกล้องหลังที่นูนเด่นขึ้นมาอย่างชัดเจนนั้นอัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีใหม่ทั้งหมด
กล้องหน้า Center Stage: ครั้งแรกที่ iPhone ทุกรุ่นในซีรีส์เปลี่ยนมาใช้กล้องหน้าความละเอียด 18 ล้านพิกเซล พร้อมเซ็นเซอร์รูปทรง “สี่เหลี่ยมจัตุรัส” นวัตกรรมนี้ทำให้เกิดฟีเจอร์ Center Stage ที่สามารถครอปภาพได้ทันที คุณจึงสามารถถ่ายภาพแนวนอนได้แม้จะถือเครื่องในแนวตั้ง และกล้องจะปรับมุมมองให้กว้างขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อมีคนเข้ามาในเฟรมเพิ่ม
กล้องหลัง Telephoto 4x และซูมคุณภาพ Optical 8x: จุดเด่นที่สุดคือกล้องหลังที่มาพร้อมเซ็นเซอร์ 48 ล้านพิกเซล ทั้ง 3 เลนส์ (กล้องหลัก, Ultrawide, Telephoto) ทำให้ระบบกล้องครอบคลุมตั้งแต่ระยะมาโครไปจนถึงการซูม 8x ที่ยังคงคุณภาพระดับ Optical
จากการทดสอบเปรียบเทียบกับสมาร์ทโฟนแบรนด์อื่น iPhone 17 Pro ให้ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจ ทั้งในด้านโทนสีผิว, รายละเอียดของพื้นผิววัตถุอย่างเนื้อผ้าหรือขุยเสื้อสเวตเตอร์ ไปจนถึงการซูมที่ยังคงให้ภาพที่เป็นธรรมชาติ ไม่ดูแข็งกระด้างจากการประมวลผลของ AI มากเกินไป
นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Undertones ที่ให้เราปรับโทนสีผิวได้ตามชอบ และระบบกันสั่นที่นำเทคโนโลยีจาก Action Mode มาปรับใช้ ทำให้วิดีโอมีความนิ่งและสมูทอย่างน่าทึ่ง
สำหรับสายงานวิดีโอ iPhone 17 Pro ได้ยกระดับไปอีกขั้นด้วยการรองรับการถ่ายไฟล์ ProRes RAW ผ่านแอป Final Cut Camera 2.0 ซึ่งเป็นไฟล์วิดีโอระดับโปรดักชันที่เก็บข้อมูลดิบจากเซ็นเซอร์มาโดยตรง ทำให้มีความยืดหยุ่นสูงสุดในการแก้ไขสีและแสงในภายหลัง
ฟีเจอร์ใหม่อื่นๆ ที่น่าสนใจ:
iPhone 17 Pro ขับเคลื่อนด้วยชิป A19 Pro ที่ผลิตบนสถาปัตยกรรม 3 นาโนเมตร ให้ประสิทธิภาพที่เร็วกว่า A18 ใน iPhone 16 Pro ถึง 14.25% (จากการทดสอบ Geekbench 6)
สิ่งที่พัฒนาขึ้นอย่างมากคือประสิทธิภาพด้านกราฟิกและการจัดการความร้อน จากการทดสอบ 3DMark Stress Test พบว่า iPhone 17 Pro ทำคะแนนได้สูงกว่ารุ่นก่อนราว 18% และยังรักษาความเสถียรของประสิทธิภาพได้ดีกว่าด้วย Vapor Chamber ที่ช่วยระบายความร้อนได้ดีเยี่ยม ทำให้อุณหภูมิเครื่องขณะทดสอบหนักๆ ไม่เกิน 40 องศาเซลเซียส ซึ่งส่งผลให้การเล่นเกมกราฟิกสูงอย่าง Resident Evil 4 เป็นไปอย่างลื่นไหลและเครื่องไม่ร้อนจนเกินไป
แบตเตอรี่คืออีกหนึ่งจุดแข็งที่น่าประทับใจ iPhone 17 Pro รองรับการชาร์จเร็วที่สามารถชาร์จได้ 50% ในเวลาเพียง 20 นาที (เร็วกว่ารุ่นก่อน 10 นาที) ด้วยเทคโนโลยี ‘USB-PD AVS’ เมื่อใช้กับอะแดปเตอร์ 40W ของ Apple และยังรองรับการชาร์จผ่าน MagSafe ที่ความเร็วสูงสุด 25W
สำหรับรุ่น eSIM Only ที่วางจำหน่ายในบางประเทศ จะมาพร้อมแบตเตอรี่ที่ใหญ่ขึ้น สามารถเล่นวิดีโอได้นานขึ้น 2 ชั่วโมง และ iOS 26 ยังมาพร้อมฟีเจอร์ Travel eSIM ที่ช่วยสลับเบอร์ให้อัตโนมัติเมื่อเดินทางไปต่างประเทศ
iPhone 17 Pro (เริ่มต้น 43,900 บาท) และ Pro Max (เริ่มต้น 48,900 บาท) อาจไม่ได้มอบความรู้สึกหรูหราจากวัสดุเหมือนรุ่นก่อน แต่สิ่งที่ได้มาคือความทนทานที่เพิ่มขึ้น, ประสิทธิภาพที่แรงและเสถียรยาวนานขึ้นจากการระบายความร้อนที่ดีเยี่ยม, และที่สำคัญที่สุดคือ ระบบกล้องที่ยืดหยุ่นและทรงพลังที่สุด เท่าที่เคยมีมาใน iPhone
หากคุณคือนักสร้างสรรค์, ช่างภาพ, หรือผู้ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุดในทุกๆ ด้าน การอัปเกรดครั้งนี้ถือว่าคุ้มค่าอย่างยิ่ง เพราะนี่คือการลงทุนในเครื่องมือที่จะปลดล็อกศักยภาพการทำงานของคุณไปอีกระดับในราคาเริ่มต้นเท่าเดิม