Lee Kuan Yew School of Public Policy (LKYSPP) จากสิงคโปร์ได้เผยแพร่รายงานวิจัยฉบับใหม่ที่ชี้ให้เห็นถึงแนวทางที่ภูมิภาคอาเซียนจะสามารถใช้ประโยชน์จากการผสานเทคโนโลยี 5G และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจครั้งสำคัญ โดยรายงานได้ประเมินมูลค่าทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นจาก 5G ไว้สูงถึง 130,000 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2573 พร้อมทั้งเตือนถึงความเสี่ยงที่อาเซียนอาจถูกทิ้งห่าง หากไม่มีการดำเนินการร่วมกันอย่างจริงจังเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลในภูมิภาค
รายงานวิจัยระบุว่า ปัจจุบันอัตราการเข้าถึง 5G ในภูมิภาคอาเซียนยังมีความแตกต่างกันอย่างมาก ตั้งแต่ 48.3% ในสิงคโปร์ ไปจนถึงน้อยกว่า 1% ในหลายประเทศสมาชิก ซึ่งความเหลื่อมล้ำนี้อาจขยายช่องว่างทางดิจิทัลและบั่นทอนขีดความสามารถในการแข่งขันของภูมิภาคได้
ศาสตราจารย์ หวู มินห์ ควง จาก LKYSPP ผู้เขียนรายงาน กล่าวว่า “การรวมกันของ 5G และ AI เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการสร้างสรรค์นวัตกรรม ที่ขับเคลื่อนการผลิตอัจฉริยะ การเกษตรแม่นยำ และระบบขนส่งอัตโนมัติ แต่อาเซียนไม่สามารถรอได้ โอกาสในการสร้างความเป็นผู้นำระดับภูมิภาคในการเชื่อมต่ออัจฉริยะกำลังจะหมดลงอย่างรวดเร็ว”
เพื่อให้อาเซียนสามารถปลดล็อกศักยภาพทางดิจิทัลได้อย่างเต็มที่ รายงานได้เสนอแนะลำดับความสำคัญเชิงกลยุทธ์ 5 ประการแก่ผู้กำหนดนโยบาย ดังนี้:
รายงานได้ยกตัวอย่างความสำเร็จที่เกิดขึ้นแล้วในภูมิภาค เช่น ท่าเรืออัจฉริยะของสิงคโปร์ที่ใช้ 5G ช่วยลดความล่าช้าได้ถึงครึ่งหนึ่ง, ระบบจัดการภัยพิบัติที่เสริมด้วย AI ของประเทศไทย และรูปแบบเครือข่ายค้าส่ง 5G ของมาเลเซียที่ครอบคลุมประชากรถึง 82%
นอกจากนี้ รายงานยังชี้ว่าเทคโนโลยี เครือข่าย 5G ส่วนตัว (Private 5G Network) เป็นกุญแจสำคัญสำหรับภาคอุตสาหกรรม 4.0 ขณะที่ Fixed Wireless Access (FWA) เป็นทางออกที่น่าสนใจในการลดช่องว่างการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ห่างไกล และการวางรากฐาน 5G ที่แข็งแกร่งในวันนี้ยังเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนาสู่เทคโนโลยี 6G ในอนาคต
รายงานของ LKYSPP สรุปว่า อาเซียนกำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญที่ต้องมีการตัดสินใจและลงมือทำอย่างเด็ดขาดและประสานงานกัน เพื่อวางรากฐานทางยุทธศาสตร์ด้าน 5G และ AI หากทำสำเร็จจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในวงกว้าง ทั้งภาคการผลิต เกษตรกรรม และการศึกษา ซึ่งจะส่งผลดีต่อพลเมืองอาเซียนกว่า 700 ล้านคนในท้ายที่สุด