ประวัติความรุ่งโรจน์ของ Intel สู่จุดพลิกผันจากผู้นำกลายเป็นผู้ตามในโลกเทคโนโลยี

Intel ชื่อนี้ทุกคนที่ใช้คอมพิวเตอร์ต้องรู้จัก หลายคนรู้จักตั้งแต่ Pentium หรือ Intel Inside แล้วก็ต้องจำเสียงเมโลดี้นี้ได้ (ตึ้ง…ตึ้งตึงตึ้งตึ๊ง) ถ้ารุ่นใหม่หน่อยก็ต้องรู้จัก Intel Core i ถ้าเป็นเมื่อสัก 10 ปีก่อนเราคงคิดไม่ถึงว่ายักษ์ใหญ่อย่าง Intel จะเดินทางมาอยู่ในสภาพหืดขึ้นคอแบบนี้ได้ วันนี้เราย้อนอดีตความยิ่งใหญ่ของ Intel สู่จุดพลิกผันของบริษัท ทั้งโดน AMD ตีตื้น โดนแอปเปิ้ลตีจาก และปัจจุบันที่กำลังหาทางทวงคืนความยิ่งใหญ่

ก่อตั้ง Intel

Intel ก่อตั้งขึ้นในปี 1968 โดย Gordon Moore, Robert Noyce และ Andy Grove โดยคำว่า INTEL มาจากเป้าหมายในธุรกิจ “INTegrated ELectronics” ในช่วงแรก

ในปี 1965 Gordon Moore ผู้ก่อตั้ง Intel ได้สังเกตว่าจำนวนทรานซิสเตอร์บนชิปจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในทุกๆ 2 ปี Intel ได้นำข้อสังเกตนี้มาใช้เป็นจังหวะในการพัฒนาการผลิตและเป็นเครื่องมือทางการตลาด ที่เรียกว่า กฎของมัวร์ การยึดมั่นในจังหวะนี้ทำให้ Intel สามารถออกโปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและคาดการณ์ได้ สร้างความเชื่อมั่นให้กับทั้งผู้ผลิตคอมพิวเตอร์และผู้บริโภคว่าคอมพิวเตอร์จะมีประสิทธิภาพสูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งกฎนี้ผลักดันอุตสาหกรรมชิปมานานกว่า 50 ปี แต่จนถึงปัจจุบันด้วยข้อจำกัดของการผลิตที่ขนาดทรานซิสเตอร์ลงไปใกล้เคียงกับขนาดอะตอมแล้ว ก็ทำให้การเพิ่มประสิทธิภาพด้วยวิธีเดิม ๆ ทำได้ยากขึ้นทุกที

ในปี 1971 Intel เปิดตัวไมโครโปรเซสเซอร์ตัวแรกของโลก นั่นคือ 4004 ชิป 4-bit สำหรับเครื่องคิดเลขของบริษัทญี่ปุ่น แม้จะถูกสร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ แต่ Intel ก็มองการณ์ไกล โดยโฆษณาชิปตัวนี้ว่าเป็น “คอมพิวเตอร์ที่ตั้งโปรแกรมได้บนชิป” (a microprogrammable computer on a chip) นี่คือจุดกำเนิดของแนวคิดที่ว่าตรรกะที่ซับซ้อนสามารถถูกแทนที่ด้วยซอฟต์แวร์ ซึ่งเป็นการเปิด “ยุคแห่งการเขียนโปรแกรม” และก็ออกชิป 8008 แบบ 8-bit ตามมาในปี 1972 และชิป 8080 ในปี 1974 ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม 10 เท่า

เหตุการณ์ที่สำคัญในยุคแรกของ Intel เกิดในปี 1981 เมื่อ IBM ยักษ์ใหญ่แห่งวงการคอมพิวเตอร์ในขณะนั้น ตัดสินใจเลือกใช้ชิป Intel 8088 เป็นหัวใจของ IBM PC เครื่องแรก

สู่ผู้นำอุตสาหกรรม

การเลือกชิป Intel ของ IBM ไม่ได้เป็นแค่การชนะสัญญาจัดซื้อชิ้นส่วน แต่มันคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชุดคำสั่งสถาปัตยกรรม (Instruction Set Architecture – ISA) x86 ของ Intel ได้รับความนิยม กลายเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมยาวนานกว่า 30 ปีถึงปัจจุบัน เพราะไม่ว่าจะเป็น Intel Core i รุ่นล่าสุด หรือ AMD Ryzen ตัวท็อปในปัจจุบัน ก็ยังอยู่บนพื้นฐานของ x86 ที่สร้างโดยอินเทล
ความแข็งแกร่งของและ Intel มาจากการยังดำเนินกลยุทธ์หลายด้านเพื่อสร้างความแข็งแกร่งคือ

1. โมเดลผู้ผลิตอุปกรณ์ครบวงจร (Integrated Device Manufacturing – IDM)

    จุดแข็งที่สำคัญของ Intel (ที่จะเป็นจุดอ่อนในเวลาต่อมา) คือการควบคุมทั้งการออกแบบและการผลิตชิปด้วยตนเอง คืออินเทลมีโรงงานผลิตชิป (fabs) ที่ล้ำสมัยทำให้สามารถสร้างชิปที่มีการออกแบบที่เหนือกว่า ซึ่งสร้างผลกำไรสูง และกำไรนั้นก็นำกลับไปลงทุนสร้างโรงงานรุ่นต่อไปที่มีราคาแพงระยับ การลงทุนในแนวดิ่งนี้ทำให้ Intel มีความได้เปรียบด้านต้นทุนและสามารถนำเทคโนโลยีใหม่ออกสู่ตลาดได้ก่อนใคร

    2. การผูกขาดของ Wintel

      การเติบโตของ Intel นั้นโตไปพร้อม Microsoft และระบบปฏิบัติการ Windows การทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดของทั้งสองบริษัทได้สร้างสิ่งที่เรียกว่า “Wintel” (Windows + Intel) สร้างอำนาจผูกขาดในตลาด PC ทำให้ผู้บริโภคและองค์กรที่ลงทุนในซอฟต์แวร์สำหรับ Windows บน x86 ไปแล้ว มีต้นทุนในการย้ายไปใช้แพลตฟอร์มอื่นสูง จะย้ายไปใช้ชิปอื่น ระบบปฏิบัติการอื่น ก็ต้องลงทุนพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่ จึงล็อกอุตสาหกรรมทั้งหมดไว้กับระบบนิเวศของ Wintel

      3. การตลาดที่ลึกซึ้ง

        Intel สร้างชิปที่อยู่ภายในเครื่อง แต่ Dennis Carter ผู้บริหารของอินเทลในยุค 80s กลับคิดนอกกรอบคือเอามาโปรโมตให้ผู้บริโภครับรู้ด้วยว่าเครื่องนี้มีชิป Intel กลายเป็นสติกเกอร์ Intel Inside ที่คุ้นตา พร้อมสร้างแบรนด์สำหรับชิปขึ้นมาใหม่ จากเดิมเรียกว่าชิป 386, 486 ที่จำยาก ในชิป 586 เลยตั้งชื่อทางการตลาดว่า Pentium ซึ่งนอกจากจะทำให้จำง่ายแล้วยังทำให้ AMD ไม่สามารถนำชื่อ Pentium ที่เป็นเครื่องหมายการค้าไปใช้กับชิปตัวเองได้ด้วย

        และ Intel ยังเป็นเคสคลาสสิกในวงการตลาด ที่สามารถสร้าง Sound trademark ชื่อ Bong (ตึ้ง…ตึ้งตึงตึ้งตึ๊ง) จนคนทั้งโลกจำได้ผ่านโฆษณาของอินเทลในยุค 90s

        เมื่อยักษ์ใหญ่สะดุด

        Intel ยิ่งใหญ่มากในยุค 90s, 2000s จนไม่น่าจะโดนโค่นได้เลย แต่ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน อินเทลเจอความผิดพลาดเชิงกลยุทธ์หลายครั้ง ต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่ ลึกเข้าไปที่แกนกลาง จากผู้นำที่ยิ่งใหญ่ เกือบกลายเป็นผู้ตามแล้วในปัจจุบัน

        แล้ว Intel สะดุดเรื่องอะไรหนัก ๆ บ้าง

        1. ตกขบวนชิปบนสมาร์ตโฟน

          การปฏิวัติสมาร์ตโฟนในช่วงปลายทศวรรษ 2000 คือคลื่นนวัตกรรมลูกใหญ่ที่สุดที่ Intel พลาดไป บริษัทซึ่งคุ้นเคยกับการสร้างโปรเซสเซอร์ประสิทธิภาพสูง กินไฟไม่อั้น ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับตลาดอุปกรณ์พกพาที่ทำงานด้วยแบตเตอรี่ ซึ่งให้ความสำคัญกับ “ประสิทธิภาพต่อวัตต์” (performance-per-watt) หรือการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด (efficiency) ได้

          หนึ่งในความผิดพลาดของ Intel คือ Steve Job เคยขอให้ Intel พัฒนาชิปสำหรับ iPhone รุ่นแรกที่เปิดตัวในปี 2007 แต่ Intel ปฏิเสธข้อเสนอนี้ เพราะมองว่าตลาดสมาร์ตโฟนมีขนาดเล็ก กำไรต่ำ ไม่มีอนาคต และราคาที่แอปเปิ้ลเสนอมาต่ำกว่าต้นทุนของ Intel

          นี่เป็นการตัดสินใจทางธุรกิจที่แพงและพลาดมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ทำให้อินเทลตกขบวนชิปสำหรับมือถือมาถึงปัจจุบัน

          Paul Otellini อดีต CEO Intel กล่าวในภายหลัง

          ความผิดพลาดครั้งนี้ทำให้อินเทลพลาดโอกาสลงทุนเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพต่อวัตต์แต่เนิ่นๆ เปิดทางให้สถาปัตยกรรม ARM ซึ่งถูกออกแบบมาโดยเน้นการประหยัดพลังงานเป็นหลัก ได้กลายเป็นตัวเลือกหนึ่งเดียวของสมาร์ตโฟนในปัจจุบัน ส่วน Apple ก็ลงทุนซื้อบริษัท P.A. Semi มาเริ่มพัฒนา Apple Silicon จนแข็งแกร่งถึงปัจจุบัน

          แม้ภายหลัง Intel พยายามที่จะเข้าสู่ตลาดนี้ด้วยชิป Atom แต่ก็ไม่สามารถแข่งขันกับระบบนิเวศของ ARM ที่เติบโตอย่างรวดเร็วได้ และท้ายที่สุดก็ต้องยอมถอนตัวออกจากตลาดไป

          2. ติดหล่มเทคโนโลยีการผลิต

            หากการพลาดตลาดมือถือเป็นความผิดพลาดเชิงกลยุทธ์ ความล้มเหลวในการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีการผลิตถือเป็นหายนะทางเทคนิคที่ทำลายความแข็งแกร่งของ Intel อย่างหนัก

            จุดเริ่มต้นของวิกฤตครั้งนี้คือความล่าช้าอย่างมากของโหนดการผลิตขนาด 10 นาโนเมตร (nm) ซึ่งปัจจุบันถูกเปลี่ยนชื่อเป็น “Intel 7”

            ความผิดพลาดของโหนด 10nm เกิดจากการที่ Intel ตั้งเป้าหมายที่ท้าทายเกินไป พยายามนำนวัตกรรมใหม่ที่มีความเสี่ยงสูงหลายอย่างมาใช้พร้อมกันในคราวเดียว เช่น เทคนิคการพิมพ์ลายวงจรที่ซับซ้อน (Self-Aligned Quad Patterning – SAQP), การใช้วัสดุใหม่อย่างโคบอลต์ (Cobalt) สำหรับการเชื่อมต่อระหว่างชั้นวงจร และการออกแบบที่เรียกว่า Contact Over Active Gate (COAG)

            การเดิมพันครั้งใหญ่นี้กลับให้ผลตรงกันข้าม เทคโนโลยีเหล่านี้ประสบปัญหาด้านอัตราการผลิตที่ใช้งานได้ (yield) ต่ำอย่างน่าใจหาย และที่เลวร้ายที่สุดคือ Intel ไม่มีแผนสำรองหรือโหนดการผลิตที่มีความท้าทายน้อยกว่าเตรียมไว้

            ส่งผลให้โหนด 10nm ล่าช้าไปนานถึง 4-5 ปี และสร้างผลกระทบแบบโดมิโนไปยังโหนดการผลิตรุ่นถัดไป คือ 7nm (ปัจจุบันคือ “Intel 4”) ซึ่งก็ล่าช้าตามไปด้วย

            ในขณะที่ Intel กำลังติดหล่มอยู่กับปัญหาการผลิต TSMC จากไต้หวันกลับสามารถพัฒนาเทคโนโลยีของตนไปได้อย่างต่อเนื่อง จาก 10nm สู่ 7nm และ 5nm ทำให้ Intel ซึ่งเคยเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีการผลิตมาตลอด ตกอยู่ในสถานะผู้ตามหลังคู่แข่งอยู่หลายเจเนอเรชัน

            การสูญเสียความเป็นผู้นำด้านกระบวนการผลิตนี้ได้ทำลายคำมั่นสัญญาของ “กฎของมัวร์” ที่บอกว่า “จำนวนทรานซิสเตอร์บนชิปจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในทุกๆ 2 ปี” ที่เคยเป็นทั้งรากฐานของแบรนด์และอำนาจในการกำหนดราคาของ Intel มานานหลายทศวรรษ

            3. ปัญหาสั่งสมจนกระทบคู่ค้า

              ความล้มเหลวในการผลิตได้ส่งผลกระทบต่อคู่ค้า และรายที่กระทบหนักที่สุดคือ Apple ที่มีปัญหากับคุณภาพชิปของ Intel ตั้งแต่ก่อนวิกฤต 10 nm แล้ว แล้วยิ่ง Intel พัฒนาชิปใหม่ล่าช้าจนทำให้แผนออกผลิตภัณฑ์ของแอปเปิ้ลต้องเลทไปด้วย แถม Intel ไม่สามารถทำตามคำขอที่แอปเปิ้ลต้องการให้สร้างชิปพิเศษเพื่อตอบสนองงานเฉพาะของ Mac ได้ ทำให้ในปี 2020 Apple ประกาศเลิกใช้ชิป Intel ในคอมพิวเตอร์ Mac ทั้งหมด และหันไปใช้ชิปสถาปัตยกรรม ARM ที่ออกแบบเอง คือ “Apple Silicon”

              การเปิดตัวชิป Apple M1 และรุ่นต่อๆ มา ไม่ได้เป็นแค่การเสียลูกค้ารายใหญ่ของ Intel เท่านั้น แต่มันคือการสาธิตให้ทั้งโลกได้เห็นอย่างชัดเจนว่า สถาปัตยกรรม ARM สามารถให้ประสิทธิภาพที่เหนือกว่าและประหยัดพลังงานกว่าชิป x86 ระดับไฮเอนด์ของ Intel ได้อย่างน่าทึ่ง Macbook Air M1 ในตอนนั้นกลับสามารถเรนเดอร์วิดีโอได้เร็วไม่ต่างจาก Mac Pro ราคาหลายแสนที่ใช้ชิป Intel

              และที่เจ็บปวดที่สุดคือ ชิปที่เหนือกว่าเหล่านั้นถูกผลิตขึ้นโดย TSMC ซึ่งเป็นคู่แข่งโดยตรงของ Intel ในด้านการผลิต การย้ายค่ายของ Apple เป็นการตอกย้ำความล้มเหลวของ Intel ในทุกมิติ ทั้งด้านเทคโนโลยีการผลิต คุณภาพผลิตภัณฑ์ และความน่าเชื่อถือในฐานะพันธมิตรทางธุรกิจ มันได้ทำลายภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำของ Intel ลงอย่างย่อยยับ

              4. คู่แข่งเริ่มผงาด

                เมื่อ Intel สะดุดขาตัวเอง คู่แข่งที่ไม่เคยลดสปีดการพัฒนาอย่าง AMD และ Nvidia ก็กลับโดดเด่นขึ้นมาแทน

                ฝั่ง Nvidia ด้วยวิสัยทัศน์ของ Jensen Huang ที่มองเห็นศักยภาพของ GPU นอกเหนือไปจากการเล่นเกม ที่สามารถนำมาใช้กับการประมวลผลแบบขนานสำหรับงานทั่วไป (general-purpose parallel computing) ทำให้เกาะกระแสความต้องการได้หลายครั้ง ตั้งแต่การขุด Bitcoin หรือความต้องการ AI ในปัจจุบัน ต่างจาก Intel ที่มุ่งเน้นกับ CPU เป็นหลัก จนพลาดโอกาสมหาศาลเมื่อตลาดต้องการ GPU สำหรับงานด้าน AI

                ส่วน AMD ภายใต้การนำของ Lisa Su บริษัทได้พลิกฟื้นจากที่เกือบจะไม่มีความสำคัญในตลาดกลับมาเป็นคู่แข่งที่ทัดเทียมกับ Intel ได้อีกครั้ง

                หัวใจของการกลับมาครั้งนี้คือสถาปัตยกรรม “Zen” ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในปี 2017 กับโปรเซสเซอร์ Ryzen ที่ออกแบบใหม่ทั้งหมดโดยเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพของคำสั่งต่อรอบนาฬิกาอย่างมหาศาล

                และการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุดของ AMD คือการเปลี่ยนตัวเองเป็นบริษัท “fabless” หรือบริษัทที่ออกแบบชิปเพียงอย่างเดียว แล้วจ้างให้ TSMC ซึ่งมีเทคโนโลยีการผลิตที่ล้ำหน้ากว่าเป็นผู้ผลิตให้

                การตัดสินใจนี้ทำให้ AMD สามารถก้าวกระโดดข้ามปัญหาโรงงานผลิตของ Intel และนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี 7nm ที่เหนือกว่า ในขณะที่ Intel ยังคงติดอยู่กับโรงงานของตัวเองที่โหนด 14nm และ 10nm ที่มีปัญหา

                การแก้ไขปัญหาของ Intel

                แล้วอินเทลเริ่มแก้ไขปัญหาของตัวเองอย่างไร ในปี 2021 Intel แต่งตั้ง Pat Gelsinger ลูกหม้อเก่า อดีตหัวหน้าทีมพัฒนา CPU 80486 กลับมารับตำแหน่ง CEO ซึ่งประกาศแผนฟื้นฟูครั้งใหญ่ที่เรียกว่า “IDM 2.0” ที่เปิดโอกาสให้ชิปของบริษัทผลิตเองทั้งภายในบริษัท และออกไปผลิตนอกบริษัทเพื่อใช้เทคโนโลยีล่าสุดในการผลิตชิป และสร้างธุรกิจใหม่ Intel Foundry Services – IFS: เพื่อรับจ้างผลิตชิปจากบริษัทอื่น ๆ เต็มรูปแบบ

                IDM 2.0 มีความทะเยอทะยานและใช้เงินลงทุนหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งมีการวางโรดแมป 5N4Y ว่าจะต้องลดขนาดการผลิตชิป หรือพัฒนา 5 Nodes ใน 4 ปี เพื่อแซง TSMC ให้ได้ ซึ่งก็เป็นการลงทุนอย่างบ้าระห่ำ เพื่อให้ Intel กลับมาตามเทคโนโลยีโลกให้ทัน

                อย่างไรก็ตาม บอร์ดบริหารของ Intel ก็ปลด Pat Gelsinger ออกในปลายปี 2024 เซ่นผลประกอบการณ์ที่ย่ำแย่ ทำให้รายได้ของ Intel ลดลงอย่างมาก บริษัทขาดทุนสุทธิเป็นครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษ และมูลค่าตลาดก็ลดลงกว่าครึ่ง

                แล้วในส่วนธุรกิจ IFS ก็มีปัญหาในการดึงดูดลูกค้ารายใหญ่ แม้ว่าจะพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต 5N4Y ได้ตามแผน เข็นโหนดสุดท้ายคือ Intel 18A ที่ผลิตด้วยความละเอียด 1.8 nm ได้ แต่ก็ยังเจอปัญหาอัตราความสำเร็จในการผลิตชิปในช่วงแรกต่ำกว่า TSMC 2 nm และภาพลักษณ์ของ Intel ที่เป็นคู่แข่งกับบริษัทพัฒนาชิปอื่น ๆ อย่าง AMD, Qualcomm หรือ Nvidia ต่างจาก TSMC ที่เป็นโรงงานผลิตชิปอย่างเดียว ทำให้เหมือน Intel ลงทุนสร้างโรงงานเก้อ ไม่มีออเดอร์ผลิตมากอย่างหวัง

                ซึ่งล่าสุดเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2025 Intel ก็ได้เปิดตัว Core Ultra ซีรีส์ 3 (โค้ดเนม Panther Lake) อย่างเป็นทางการ โดยเป็นชิประดับ Mass ตัวแรกที่ผลิตบนเทคโนโลยี 18A ทำให้แรงขึ้นและประหยัดไฟมากกว่าเดิม

                การเข้ามาของ Lip-Bu Tan

                เมื่อ Gelsinger จากไป บอร์ดจึงแต่งตั้ง Lip-Bu Tan (ลิปบู ตัน) อดีต CEO ของบริษัทซอฟต์แวร์ออกแบบชิป Cadence Design Systems และผู้มีประสบการณ์โชกโชนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เข้ามาแทน เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า Intel กำลังเปลี่ยนทิศทางจากวิสัยทัศน์วิศวกรเน้นลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีที่ขาดหาย ไปสู่แนวทางที่เน้นวินัยทางการเงิน ความเป็นจริง และลูกค้าเป็นศูนย์กลางแทน

                Intel ในยุค Tan จะไม่ลงทุนในโหนด 14A ถ้าไม่มีคำสั่งซื้อจากลูกค้ารายใหญ่ที่แน่นอน เพื่อหยุดปัญหาลงทุนเร็วแล้วไม่มีรายได้มากพอ

                นอกจากการปรับกลยุทธ์แล้ว Tan ยังได้ทำการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ โดยลดจำนวนพนักงานลงประมาณ 15% และลดชั้นการบริหารจัดการลงเกือบ 50% เพื่อให้องค์กรมีความคล่องตัวและตัดสินใจได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

                การเปลี่ยนแปลงจากผู้นำสู่ผู้ตามของ Intel ทำให้เกิดภาพที่เราไม่คิดว่าจะได้เห็นหลายอย่าง เช่น ในปลายปี 2024 Intel และ AMD ยังจับมือกันตั้งกลุ่ม x86 Ecosystem Advisory Group ร่วมกับบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี x86 เพื่อสร้างมาตรฐานของสถาปัตยกรรมร่วมกัน สู้ศึก CPU ที่โดน ARM กินตลาดไปเรื่อย ๆ

                ส่วนในปี 2025 นี้เราได้เห็นรัฐบาลสหรัฐได้ถือหุ้น Intel 10%, Softbank ซื้อหุ้น 2% และ Nvidia ก็เพิ่งซื้อหุ้น Intel ไป 5% เช่นกัน อนาคตเราอาจจะเห็นชิปซีพียูจากอินเทลที่ใช้ GPU จาก Nvidia ก็เป็นไปได้ เอ๊ะ หรือจะเห็น CPU จาก Nvidia กันแน่นะ

                ทั้งหมดนี้ก็เป็นความดิ้นรนของ Intel ให้ผ่านวิกฤตนี้ไปให้ได้ ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีตอนจบของเรื่องราว และเรื่องเล่านี้เราคงได้เห็นแล้วว่าในวงการเทคโนโลยี แม้ว่าจะเป็นยักษ์ใหญ่ค้ำฟ้า แต่ถ้าหยุดพัฒนาเมื่อไหร่ ก็จะถูกแซงได้ในเวลาไม่นานได้เช่นกันเท่านั้น

                บรรณาธิการ CEEi ดูแลเนื้อหาด้านเทคโนโลยี Gadget ทุกประเภท

                Advertisement

                Sidebar Search
                Popular Now
                Loading

                Signing-in 3 seconds...

                Signing-up 3 seconds...