คนแชร์กันเยอะในโลกโซเซียล สายชาร์จ USB-C ที่มากับ iPhone 17 มี Pin หรือขาโลหะในพอร์ตไม่ครบ 24 พินเหมือนสาย USB-C ทั่วไป คนไทยก็แสดงความเห็นไปต่าง ๆ นานา ความเห็นส่วนใหญ่ก็บอกว่าแอปเปิลกั้ก ให้สายไม่สมบูรณ์เพราะต้องการจะลดต้นทุน แต่จริง ๆ แล้วเรื่องราวมันซับซ้อนกว่านั้นค่ะ ซีจะอธิบายตั้งแต่สายของแอปเปิล ความวุ่นวายในโลก USB-C ไปจนถึงข้อเท็จจริงของการชาร์จเร็วใน Android ให้ฟัง ครบจบในบทความนี้
ถ้าหวังว่าจะได้คำตอบว่าแอปเปิลต้องการลดต้นทุนสาย ใช่ค่ะ คุณได้คำตอบนั้น เพื่อควบคุมต้นทุน แอปเปิ้ลเลยไม่ใส่มา

แต่นี่คือเรื่องที่ Apple คิดมาชัดเจนตั้งแต่แรกแล้วว่าสาย USB-C ที่มาในกล่อง iPhone หน้าที่หลักของมันคือเป็นสายชาร์จไฟ การส่งข้อมูลเป็นเรื่องรอง รองรับแค่ USB 2.0 ความเร็ว 480 Mbps ก็พอ เลยดีไซน์ให้มีพินไม่ครบเพื่อให้สายชาร์จมีขนาดเล็ก สายไฟภายในก็ไม่ต้องหนามากเพราะสเปกออกแบบให้รองรับกำลังชาร์จไม่เกิน 60W ซึ่งไอโฟนดึงไฟสูงสุดไม่เกิน 40W อยู่แล้ว
ผลที่ได้คือสายชาร์จที่มีน้ำหนักเบา พกง่าย เพราะไม่จำเป็นต้องใส่สายไฟย่อยภายในจนครบทุกเส้น ไม่ต้องใส่สายไฟหนา ออกแบบให้ทนทานง่ายขึ้นเพราะไม่ซับซ้อน (สายรุ่นปัจจุบันของแอปเปิลเป็นสายถักแล้วนะคะ ไม่เจอปัญหาสายย่อยสลายตัวเองแล้ว) แน่นอนว่าต้นทุนการผลิตสายก็ลดลงด้วย อย่างสายชาร์จ MagSafe ของ MacBook ก็มีพินไม่ครบ เพราะไม่ได้ใช้ส่งข้อมูลอยู่แล้ว
และข้อเท็จจริงที่คนไม่ค่อยพูดถึงกัน คือเท่าที่เราเคยรีวิวมือถือกันมา ไม่เคยเจอสมาร์ตโฟนรุ่นไหนแถมสาย USB ความเร็ว 3.0 เลย แม้ว่าจะเป็น Android ตัวท็อปที่ราคาพอ ๆ หรือแพงกว่า iPhone ก็แถมสาย USB-C 2.0 สำหรับชาร์จเป็นหลัก
เรื่องนี้น่าจะเพราะว่าผู้ผลิตมีการเก็บข้อมูลว่าคนส่วนใหญ่ใช้สายที่มาในกล่องเพื่อชาร์จ ไม่ได้ใช้โอนข้อมูล การแถมสาย USB-C 3.0 จึงเป็นการเพิ่มต้นทุนโดยที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้ แถมยังทำให้สายหนาขึ้น พกยากขึ้นด้วย
เรื่องนี้เป็นความมหัศจรรย์ของ USB-C ที่เห็นพอร์ตเล็กแค่นั้น แต่ภายในออกแบบมารองรับการใช้งานหลายหลากมากด้วยขั้วเชื่อมต่อภายใน 24 พิน ซึ่งไม่จำเป็นว่าจะต้องมีครบทั้ง 24 พินเพื่อให้สายนั้นทำงานได้
ส่วนสายนั้นจะมีกี่พิน ขึ้นอยู่กับการออกแบบว่าให้น้ำหนักกับอะไร เช่นสายของแอปเปิ้ลมี 14 พิน หายไป 10 ซึ่งเป็นพินที่เกี่ยวกับการส่งข้อมูลความเร็วสูง ทำให้สายนี้ส่งข้อมูลด้วยความเร็วระดับ USB 3.0 ไม่ได้
มาลงลึกกันหน่อยนะคะว่า 24 พินใน USB-C มีอะไรบ้าง
สายของแอปเปิ้ลมี 14 พิน แบ่งเป็นข้างละ 7 พิน ประกอบด้วย
แต่ถ้าคุณเห็นสาย USB-C ที่มีพินครบ คุณก็บอกไม่ได้ว่าสายนั้นรองรับความเร็วสูงได้ เพราะสายตามท้องตลาด ผู้ผลิตจะซื้อหัว USB-C สำเร็จรูปที่มีพินครบมาใช้ ส่วนภายในต่อสายสัญญาณยังไงบ้าง ก็ต้องดูรายละเอียดชัด ๆ ที่ผู้ผลิตสายระบุ
อย่างแรกคุณต้องไม่สับสนว่า การรองรับความเร็วในการโอนข้อมูล และการรองรับความเร็วในชาร์จ เป็นอย่างเดียวกัน เพราะมันเป็นคนละเรื่องกัน การรองรับความเร็วในการโอนข้อมูลจะเขียนระบุเป็นมาตรฐาน USB ส่วนการรองรับความสามารถในการชาร์จจะระบุเป็นมาตรฐาน USB-PD
เพราะฉะนั้น USB 3.0 ≠ USB-PD 3.0 อย่าอ่านสเปกผิดนะคะ
ถ้าต้องการสายที่รองรับกำลังไฟในการชาร์จสูง ก็ต้องดูสายที่เขียนว่า 100 W หรือ 240 W ซึ่งสายที่รองรับกำลังไฟสูง มักไม่ใช่สายที่ส่งข้อมูลได้เร็ว ต้องอ่านสเปกดีๆ
ถ้าต้องการสายที่ส่งข้อมูลเร็ว ก็ต้องดูว่ารองรับความเร็วระดับ USB 3.0 ขึ้นไป ซึ่งจะมีรายละเอียดย่อยอีกว่ารองรับความเร็วระดับใด เช่น

ก็ต้องดูว่าอุปกรณ์ที่ใช้ด้วยเป็นพอร์ตที่รองรับความเร็วระดับไหน ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้จะมีเขียนชัดเจนที่ตัวแพ็กเกจ หรือรายละเอียดในร้านออนไลน์ค่ะ ถ้าต้องการสายที่ต่อสัญญาณออกจอได้ ต้องดูว่าเป็น USB-C 3.0 ขึ้นไป แต่ถ้าให้ชัวร์ก็ต้องเทสต์ซ้ำอีกครั้ง หากไม่ได้ระบุชัดว่าส่งสัญญาณภาพได้
สาย USB-C กับสาย Thunderbolt 3/4/5 มีพอร์ตหน้าตาเหมือนกัน แต่เสียบสาย USB-C ที่พอร์ต Thunderbolt จะใช้ความเร็วสูงสุดของ Thunderbolt ไม่ได้ ในทางกลับกันเราสามารถใช้สาย Thunderbolt เสียบพอร์ต USB-C เพื่อใช้ความเร็วสูงสุดของ USB-C นั้น ๆ ได้ เพราะสาย Thunderbolt มีสเปกสูงกว่าสาย USB-C แต่เป็นทางเลือกที่ไม่คุ้ม เพราะสาย Thunderbolt มักราคาสูงกว่าสาย USB-C ความเร็วสูง

อย่างสาย Thunderbolt 5 ของแอปเปิ้ลความยาว 1 เมตร มีราคา 2,490 บาท ส่วนสาย USB-C 4.0 40 Gbps สามารถหาได้ในราคาไม่กี่ร้อยบาทเท่านั้น
เรื่องนี้จริงค่ะ Android ให้กำลังในการชาร์จสูงกว่า iPhone จริง แต่การชาร์จเร็วของ Android โดยเฉพาะแบรนด์จีนที่มีเทคโนโลยีการชาร์จของตัวเอง ส่วนใหญ่มีเงื่อนไขว่าจำเป็นต้องชาร์จด้วยหัวชาร์จของค่าย เช่นเทคโนโลยี OPPO SuperVOOC, Vivo FlashCharge, Xiaomi HyperCharge ถ้าไปใช้หัวชาร์จทั่วไปที่รองรับมาตรฐานกลางอย่าง USB-PD ความเร็วในการชาร์จจะตกลงมาก จนได้ความเร็วไม่ต่างจาก iPhone นัก
ผู้ใช้ Android ที่ใช้มาตรฐานการชาร์จเร็วเฉพาะตัว และอยากชาร์จเร็วตลอดเวลา จึงต้องพกหัวชาร์จเทคโนโลยีของตัวเองติดตัวไปด้วย
แต่ก็ใช่ว่าสมาร์ตโฟนแบรนด์จีนทุกตัวจะชาร์จ USB-PD ช้ากว่าเทคโนโลยีของตัวเอง เพราะล่าสุด Xiaomi 17 รองรับมาตรฐานกลาง USB-PD PPS ที่กำลังชาร์จสูงสุด 100W แล้ว ทำให้สะดวกในการหาหัวชาร์จในท้องตลาดมากขึ้น
ข้อเท็จจริง: การย้ายข้อมูลระหว่าง iPhone เครื่องเก่าไปเครื่องใหม่ด้วยสายนั้นเร็วกว่าไร้สายจริง และการใช้สาย Thunderbolt ก็ทำให้โอนข้อมูลได้เร็วกว่าสายที่แถมในกล่องจริง แต่ก็เป็นการลงทุนที่เกินสเปกไป เพราะ iPhone Pro รองรับแค่ USB 3 อย่าง iPhone 16 Pro รองรับ USB 3.2 Gen 2 ความเร็ว 10 Gbps จึงใช้สาย USB-C ความเร็ว 10 Gbps ก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องซื้อสาย Thunderbolt ราคาหลายพันมาโอนข้อมูล
และถ้าโอนข้อมูลระหว่าง iPhone รุ่นธรรมดาที่ไม่ใช่ iPhone Pro ก็ใช้สายแถมในกล่องก็พอแล้ว เพราะตัวพอร์ตของ iPhone รองรับความเร็วแค่ USB 2.0
ข้อเท็จจริง: เรื่องนี้เราอธิบายไปแล้วว่าสาย USB-C เป็นหนึ่งในความปวดหัวของวงการไอทีในยุคปัจจุบัน ว่าภายใต้พอร์ตที่หน้าตาเหมือนกัน สายแต่ละเส้นมีความสามารถไม่เท่ากัน มี 3 สิ่งง่าย ๆ ที่ต้องใส่ใจตอนซื้อคือ





