นักลงทุนหวั่น Meta ทุ่มงบ AI มหาศาล แต่ไม่มีผลิตภัณฑ์ที่สร้างรายได้ สวนทางค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น

dailygizmoAIJust now1 Views

THE SUMMARY:

นักลงทุนหวั่น Meta ทุ่มงบมหาศาลเพื่อวิจัยและพัฒนา รวมถึงสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI แต่ปัญหาคือยังไม่มีผลิตภัณฑ์ที่สร้างรายได้จริงอย่างแท้จริง สวนทางค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น

Meta ถือเป็นบริษัทที่ลงทุนด้าน AI มากที่สุดในโลกด้วยการสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ถึง 2 แห่งในสหรัฐฯ คาดว่าอาจใช้และมีงบสูงถึง 6 แสนล้านเหรียญภายใน 3 ปีข้างหน้า

แต่ตัวเลขนี้กลับสร้างความหวาดหวั่นให้กับนักลงทุน เนื่องจากรายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุดที่เผยให้เห็นว่า ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นกว่า 7 พันล้านเหรียญเมื่อเทียบกับปีก่อน และมีค่าใช้จ่ายด้านทุนพุ่งแตะเกือบ 2 หมื่นล้านเหรียญ โดยงบส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับการพัฒนาเทคโนโลยีและบุคลากรด้าน AI ซึ่งจนถึงตอนนี้ยังไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่ชัดเจน

แม้มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของ Meta ยืนยันระหว่างประชุมกับนักวิเคราะห์ว่า “การใช้จ่ายเหล่านี้เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น เพื่อให้มีระบบประมวลผลที่จำเป็นทั้งสำหรับการวิจัย AI และโครงการใหม่ๆ ที่จะเปลี่ยนอนาคตของธุรกิจหลักเรา”

คำพูดนี้ไม่ได้ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนมากนัก ราคาหุ้นของ Meta ร่วงทันทีหลังจบการประชุม และภายใน 2 วันต่อมา ราคาหุ้นร่วงลงกว่า 12% ส่งผลให้มูลค่าตลาดหายไปกว่า 2 แสนล้านเหรียญ

แม้ Meta จะยังคงทำกำไรไตรมาสละกว่า 2 หมื่นล้านเหรียญ แต่การทุ่มงบลงทุนอย่างหนักในด้าน AI เริ่มส่งผลกระทบต่อผลประกอบการอย่างเห็นได้ชัด สิ่งที่น่ากังวลคือยังไม่มีความชัดเจนว่าเงินจำนวนมหาศาลนี้จะสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมได้เมื่อใด

Meta AI

นักวิเคราะห์ต่างตั้งคำถามต่อมาร์ก ซักเคอร์เบิร์กว่า เหตุใดจึงกล้าเดิมพันครั้งใหญ่เช่นนี้ ทั้งที่ยังไม่มีแผนรายได้หรือผลิตภัณฑ์ที่ชัดเจนมารองรับ แต่เขาตอบเพียงว่า AI มี “ศักยภาพมหาศาล” ก็ยิ่งเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับนักลงทุนที่เฝ้ารอดูว่า Meta จะเปลี่ยนการลงทุนนี้ให้กลายเป็นผลกำไรได้อย่างไรในอนาคต

Meta ไม่ใช่บริษัทเดียวที่ทุ่มงบหลายพันล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI แต่คู่แข่งอย่าง Google หรือ Nvidia ที่ยังสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้ด้วยผลประกอบการที่แข็งแกร่ง Meta กลับยังไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ แม้แต่ OpenAI ซึ่งมีเงินทุนน้อยกว่ามาก ก็ใช้เม็ดเงินในระดับใกล้เคียงกันแต่สามารถสร้างรายได้กว่า 2 หมื่นล้านเหรียญต่อปี จากฐานผู้ใช้ที่เติบโตเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ ตรงกันข้ามกับ Meta ที่ยังไม่มีผลิตภัณฑ์ AI ตัวใดสร้างรายได้อย่างเป็นรูปธรรม

ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ AI ที่โดดเด่นที่สุดของบริษัทคือ Meta AI ผู้ช่วยอัจฉริยะที่มีผู้ใช้มากกว่าพันล้านคน อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้อาจรวมจากฐานผู้ใช้ Facebook และ Instagram ซึ่งมีมากกว่า 3 พันล้านคนทั่วโลก จึงยากจะบอกได้ว่า Meta AI ได้รับความนิยมจริงในระดับเดียวกับ ChatGPT ขณะเดียวกัน โครงการ Vibes โปรแกรมสร้างวิดีโออัตโนมัติ ก็แม้จะช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ แต่ยังไม่ส่งผลเชิงรายได้อย่างมีนัยสำคัญ

ส่วนอีกหนึ่งความพยายามก็คือ แว่นตาอัจฉริยะ Vanguard ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อต้นเดือน ถือเป็นการต่อยอดจาก Reality Labs มากกว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ AI ที่ปฏิวัติตลาด ทำให้หลายฝ่ายมองว่า Meta ยังคงอยู่ในช่วง “ทดลองแนวทาง” มากกว่าการเข้าสู่เฟสของผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์จริงจัง

เมื่อถูกถามถึงเหตุผลของการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน AI มหาศาล ซักเคอร์เบิร์กไม่ได้กล่าวถึงผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน แต่ชี้ไปยังอนาคต โดยระบุว่าโมเดลใหม่จาก Superintelligence Lab (MSL) จะเป็นก้าวสำคัญของบริษัท ซึ่งจะมีข้อมูลเพิ่มเติมในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า นั่นยิ่งสะท้อนให้เห็นว่าบริษัทอาจยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนในตอนนี้

ในความเป็นจริง ทีม AI ของ Meta เพิ่งได้รับการปรับโครงสร้างเมื่อสี่เดือนก่อน และทีม Superintelligence ยังไม่มีเวลาสร้างผลงานเป็นรูปธรรม แต่แม้จะใช้เงินหลายพันล้านเหรียญเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันด้าน AI

ทิศทางของบริษัทก็ยังไม่ชัดเจนว่า ซักเคอร์เบิร์กตั้งใจจะนำ Meta ไปในเส้นทางใดของอุตสาหกรรมใหม่นี้ นั่นคือสิ่งที่ Meta ต้องรีบหาให้เจอและต้องทำให้เร็ว ก่อนที่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนจะหายไปมากกว่านี้

ที่มา techcrunch

นักเขียนสาย Introvert ที่ชื่นชอบเรื่องนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ ใช้เวลาว่างกับ มังงะ, เสียงเพลงและ idol

Advertisement

Sidebar Search
Popular Now
Loading

Signing-in 3 seconds...

Signing-up 3 seconds...