ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รถยนต์ไฟฟ้าหรือ EV มีการเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วโลก โดยยอดขาย EV เพิ่มจาก 18 % ในปี 2023 เป็น 22 % ในปี 2024 และคาดว่าจะเพิ่มเป็นประมาณ 25 % ในปี 2025 อย่างไรก็ตาม มีผู้ใช้จำนวนมากเริ่มสังเกตว่าการใช้งานรถ EV มีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดอาการเมารถมากกว่ารถสันดาป
แม้ว่าเรื่องนี้จะไม่มีการยืนยันจากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าโดยตรง แต่ก็มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มารองรับ สาเหตุหลัก ๆ คือเรื่อง sensory mismatch หรือภาวะความไม่สอดคล้องกันของข้อมูลจากประสาทสัมผัส วิลเลียม เอมอนด์ (William Emond) นักศึกษาปริญญาเอกที่ทำวิจัยเกี่ยวกับอาการเมารถจาก Université de Technologie de Belfort-Montbéliard ในฝรั่งเศสกล่าวว่า อาการเมารถขณะนั่งหรือขับรถยนต์ไฟฟ้าอาจเกิดจากการขาดประสบการณ์การนั่งรถประเภทนี้โดยตรง ซึ่งสมองขาดความแม่นยําในการประมาณแรงเคลื่อนเนื่องจากเรามักจะคุ้นเคยกับการเคลื่อนไหวและสัญญาณของรถสันดาปมากกว่า เช่น เสียงเครื่องยนต์เร่ง, การสั่นสะเทือน, หรือแรงบิด ซึ่งทำหน้าที่เป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าว่ารถกำลังจะเปลี่ยนความเร็ว แต่ในรถ EV ที่เงียบและนิ่ง สัญญาณเหล่านี้จะหายไป ทำให้สมองไม่สามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวล่วงหน้าได้
การนั่งบนรถไฟฟ้าในช่วงใหม่ ๆ นั้น สมองยังไม่สามารถประมวลผลการเคลื่อนไหวได้อย่างแม่นยำ สมองจึงสร้างภาพลักษณ์การเคลื่อนไหวที่ไม่ตรงกับสิ่งที่ประสาทรับรู้ ประกอบกับระบบ regenerative braking ทำให้รถชะลอตัวกระทันหันเมื่อปล่อยคันเร่ง โดยเฉพาะระบบ one‑pedal driving ทำให้เกิดแรงหน่วงขึ้นมา ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุให้เกิดอาการวิงเวียน คลื่นไส้เวลานั่งบนรถยนต์ไฟฟ้า
มีรายงานจาก ABC News และ Health.com ระบุว่า มีคนไม่เคยมีอาการเมารถมาก่อนก็อาจมีอาการขณะใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าได้เช่นเดียวกัน เช่นมีผู้ที่ใช้งานรถ Tesla แล้วมีอาการหรือรู้สึกคลื่นไส้ แม้จะไม่เคยมีอาการเหล่านี้ในรถสันดาปมาก่อน ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ยืนยันว่าอาการเมารถยนต์ไฟฟ้านั้นมีความเกี่ยวข้องกับ regenerative braking จริง
สำหรับผู้ที่มีอาการเมารถยนต์ไฟฟ้าสามารถแก้ปัญหาเบื้องต้นได้โดยการนั่งที่นั่งด้านหน้าข้างผู้ขับ ไม่อ่านหนังสือหรือใช้สมาร์ตโฟนขณะโดยสาร และฝึกเอียงศีรษะไปทิศทางตรงกันข้ามกับแรงเหวี่ยงซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการเมารถขณะใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าได้
ส่วนที่ผู้ผลิตสามารถปรับปรุงได้ ก็มีการเสนอให้เพิ่มหรือจำลองเสียงเครื่องยนต์หรือแรงสั่นบางอย่างในห้องโดยสาร ให้คล้ายรถน้ำมัน เพื่อให้สมองมีสัญญาณช่วยคาดการณ์การเร่ง เบรก หรือเปลี่ยนทิศทาง
ที่มา The Guardian