นักวิทยาศาสตร์จากเคมบริดจ์งคิดค้นชุดนอน AI ที่ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงของอาการหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง และโรคเบาหวานในระยะยาวได้อีก
การนอนหลับมีความสำคัญต่อสุขภาพของมนุษย์ แต่ผู้ใหญ่มากกว่า 60% ประสบปัญหาคุณภาพการนอนหลับไม่ดี ส่งผลให้สูญเสียวันทำงานระหว่าง 44 ถึง 54 วันต่อปี กีะทบต่อ GDP ทั่วโลกลดลงประมาณ 1%
นอกจากนั้นพฤติกรรมการนอนหลับ เช่น การหายใจทางปาก โรคหยุดหายใจขณะหลับ และการกรน เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คุณภาพการนอนหลับไม่ดี และอาจนำไปสู่ภาวะเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน และภาวะซึมเศร้า แม้จะมีอุปกรณ์สวมใส่ เช่น สมาร์ทวอทช์ ช่วยวัดได้ แต่ก็ยังไม่สามารถติดตามการนอนหลับที่ผิดปกติได้อย่างแม่นยำ
นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ได้พัฒนา ‘ชุดนอนอัจฉริยะ’ ที่สวมใส่สบายและซักได้ ต่อยอดมาจาก ปลอกคออัจฉริยะสำหรับผู้ที่มีความบกพร่องทางการพูด ด้วยการใช้เซ็นเซอร์กราฟีนใหม่ เพื่อช่วยวิเคราะห์ลมหายใจระหว่างการนอนหลับให้ติดตามอาการผิดปกติของการนอนหลับ เช่น โรคหยุดหายใจขณะหลับได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้แผ่นแปะหรืออุปกรณ์ที่ยุ่งยาก โดยไม่จำเป็นต้องไปหาคลินิกเฉพาะทางด้านการนอนหลับ
จุดเด่นคือ เซ็นเซอร์ผ้าพิมพ์ที่ตรวจสอบการหายใจ ผ่านการตรวจจับการเคลื่อนไหวเล็กน้อยในผิวหนังรอบคอและหน้าอก แม้ว่าจะสวมชุดนอนหลวมๆ เซ็นเซอร์ที่ใช้นั้นมาพร้อม AI ที่ชื่อว่า SleepNet ระบุสถานะการนอนหลับที่แตกต่างกัน 6 สถานะ โดยวัดจากการหายใจทางจมูก การหายใจทางปาก การกรน การกัดฟัน
แม้จะเคลื่อนไหวขณะนอนหรือการพลิกตัวไปมาก็วัดได้ ระบุความแตกต่างระหว่างการนอนหลับปกติและการนอนหลับผิดปกติได้สำเร็จด้วยความแม่นยำ 98.6% ไม่ว่าจะเป็นโรคหยุดหายใจขณะหลับจากศูนย์กลาง (CSA) และโรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (OSA)
อีกข้อดีคือ SleepNet เป็นโมเดลขนาดเล็ก ลดความซับซ้อนในการคำนวณ เพื่อให้ทำงานบนอุปกรณ์พกพาได้โดยไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์หรือเซิร์ฟเวอร์ ในการทดสอบได้นำไปใช้งานกับผู้ป่วยที่มีสุขภาพแข็งแรงและผู้ป่วยโรคหยุดหายใจขณะหลับ และสามารถตรวจจับสถานะการนอนหลับได้หลากหลายด้วยความแม่นยำ 98.6%
ข้อมูลที่ชุดนอนอัจฉริยะเก็บมาได้ สามารถถ่ายโอนข้อมูลแบบไร้สายไปยังสมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์ได้อย่างปลอดภัย
ทางนักวิจัยหวังที่จะดัดแปลงเซ็นเซอร์ให้เหมาะกับสภาวะสุขภาพต่างๆ หรือการใช้งานในบ้าน เช่น การติดตามเด็ก และได้มีการหารือกับผู้ป่วยกลุ่มต่างๆ แล้ว นอกจากนี้ นักวิจัยยังพยายามปรับปรุงความทนทานของเซ็นเซอร์ให้ใช้งานได้ยาวนานขึ้นด้วย
ที่มา Cambridge