Coca-Cola ยอมเปลี่ยนไปใช้น้ำตาลอ้อยตามนโยบายทรัมป์ แต่จะปลอดภัยกว่าน้ำเชื่อมข้าวโพดจริงหรือไม่?

THE SUMMARY:

ช่วงสัปดาห์ที่แล้ว Coca-Cola ได้ประกาศในรายงานผลประกอบการว่าบริษัทจะเพิ่มเครื่องดื่มเข้าไปในไลน์อัปผลิตภัณฑ์ในสหรัฐอเมริกา โดยเครื่องดื่มดังกล่าวเป็นเครื่องดื่มที่เติมความหวานด้วยซูโครสจากน้ำตาลอ้อยแทนน้ำเชื่อมข้าวโพด

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ได้รับแรงผลักดันจากนโยบาย “Make America Healthy Again (MAHA)” ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ซึ่งชูประเด็นด้านสุขภาพและความหวานที่เกินจำเป็นในอาหารแปรรูป โดยเฉพาะน้ำอัดลมที่ได้รับความนิยมสูงอย่างโค้ก

การบริโภคน้ำเชื่อมข้าวโพด หรือ High-Fructose Corn Syrup (HFCS) มากเกินไปมีโอกาสทำให้เป็นโรคอ้วน โรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคไขมันพอกตับชนิดไม่เกี่ยวกับแอลกอฮอล นอกจากนี้ยังมีความเชื่อมโยงกับโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบเผาผลาญ (metabolic syndrome) ซึ่งทำให้เพิ่มเสี่ยงต่อโรคหัวใจ/หลอดเลือดและโรคเบาหวานอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ (Robert F. Kennedy Jr.) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขสหรัฐฯ เคยแสดงความกังวลเกี่ยวกับสารให้ความหวานชนิดนี้มาก่อน แต่ประเด็นสำคัญคือ การใช้น้ำตาลอ้อยดีกว่าน้ำเชื่อมข้าวโพดจริงหรือไม่

น้ำเชื่อมข้าวโพดผลิตโดยการย่อยแป้งข้าวโพดให้เป็นน้ำเชื่อมข้าวโพดซึ่งมีกลูโคสเกือบ 100% แล้วเติมเอนไซม์ลงในน้ำเชื่อมข้าวโพดเพื่อเปลี่ยนกลูโคสบางส่วนให้เป็นฟรุกโตส ส่วนซูโครสที่สกัดจากอ้อยแล้วนำมาผ่านกระบวนการกลั่น มีคุณสมบัติทางเคมีที่คล้ายคลึงกับน้ำเชื่อมข้าวโพด โดยน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวในซูโครสและน้ำเชื่อมข้าวโพดจะถูกเผาผลาญในลักษณะเดียวกัน กลูโคสในกระแสเลือดจะเข้าสู่เซลล์ด้วยอินซูฃินเหมือนกัน ซึ่งฟรุกโตสไม่จำเป็นต้องใช้อินซูลินแต่จะถูกเผาผลาญที่ตับเป็นหลัก ด้านโภชนาการ ซูโครสและน้ำเชื่อมข้าวโพด ไม่มีความแตกต่างกัน ทั้งสองชนิดให้พลังงานสี่แคลอรีต่อกรัม หรือ 16 แคลอรีต่อช้อนชา

งานวิจัยบางฉบับพบว่าน้ำเชื่อมข้าวโพดอาจส่งผลให้ตับสร้างไขมันมากขึ้นและมีผลต่อระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนเพียงพอ นักโภชนาการชื่อดังอย่าง ดร. คริสโตเฟอร์ การ์ดเนอร์ (Dr. Christopher Gardner) จาก Stanford University และ ดร. เอริก ริมม์ (Dr. Eric Rimm) จาก Harvard University ต่างบอกตรงกันว่า ประเด็นสำคัญไม่ใช่ชนิดของน้ำตาล แต่คือปริมาณน้ำตาลรวมที่ผู้บริโภคได้รับในแต่ละวันคือเรื่องสำคัญกว่า

กระทรวงเกษตรสหรัฐฯ แนะนำให้บริโภคน้ำตาลไม่เกิน 10% ของพลังงานที่ร่างกายต้องการต่อวัน หรือประมาณ 200 แคลอรี่จากน้ำตาลคิดเป็นประมาณ 12 ช้อนชาสำหรับผู้ใหญ่ทั่วไป แต่ส่วนใหญ่ชาวอเมริกันจะบริโภคมากกว่าเกณฑ์ที่เหมาะสม โดยเฉพาะจากน้ำอัดลม เครื่องดื่ม และขนมแปรรูป

การที่ Coca-Cola เปลี่ยนมาใช้น้ำตาลอ้อยที่เหมือนจะดูดีกว่าน้ำเชื่อมข้าวโพด แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพบอกว่าผู้บริโภคไม่ควรเข้าใจผิดว่าสูตรใหม่จะดีต่อสุขภาพมากกว่าสูตรเดิม เพราะสุดท้ายแล้ว น้ำตาลก็คือน้ำตาล ไม่ว่าจะมาจากข้าวโพดหรืออ้อย หากบริโภคมากเกินไปก็ส่งผลเสียเหมือนกัน

ที่มา The Globe And Mail ภาพจาก Pexels

Advertisement

Sidebar Search
Popular Now
Loading

Signing-in 3 seconds...

Signing-up 3 seconds...