มะเร็งอาจคร่าชีวิตมนุษย์เพิ่มถึง 2 เท่าในปี 2050 หากเรายังไม่ทำอะไรสักอย่าง

มะเร็งไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป และไม่ใช่โรคของคนรวยหรือประเทศพัฒนาแล้วอย่างที่เคยเข้าใจกัน ทุกวันนี้ มะเร็งกำลังกลายเป็นวิกฤตเงียบที่เริ่มทวีความรุนแรงไปทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศรายได้ต่ำและปานกลาง ซึ่งมีทรัพยากรด้านสาธารณสุขจำกัด

จากข้อมูลการศึกษาขนาดใหญ่ระดับโลกอย่าง Global Burden of Disease (GBD) Cancer Study ซึ่งติดตามสถานการณ์มะเร็งในประเทศต่าง ๆ ตั้งแต่ปี 1990 จนถึงปัจจุบัน พบว่า เกือบ 1 ใน 6 ของการเสียชีวิตทั่วโลกเกิดจากโรคมะเร็ง และกว่า 2 ใน 3 ของผู้เสียชีวิตอยู่ในประเทศที่ยังขาดแคลนการรักษาที่เข้าถึง อย่าง ระบบคัดกรอง การวินิจฉัย รวมถึงการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ที่น่ากังวลคือ หากโลกยังเดินหน้าไปในทิศทางเดิม ภายในปี 2050 จะมีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่มากถึง 30 ล้านคนต่อปี และมีผู้เสียชีวิตจากมะเร็งเกือบ 19 ล้านคนต่อปี หรือเกือบ 2 เท่าจากตัวเลขในปัจจุบัน สาเหตุไม่ได้มาจากประชากรสูงวัยเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต มลพิษทางอากาศ และพฤติกรรมเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น

งานวิจัยพบว่า กว่า 41.7% ของการเป็นมะเร็งเกี่ยวกับปัจจัยที่สามารถป้องกันได้ เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ อาหาร ภาวะน้ำหนักเกิน การสัมผัสมลพิษ และสภาพแวดล้อมการทำงานที่ไม่ปลอดภัย นั่นหมายความว่า ผู้ป่วยมะเร็งจำนวนมากจะไม่เกิดขึ้น หากมีนโยบายและสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพมากกว่านี้

อีกหนึ่งปัญหาสำคัญคือ การตรวจพบให้โรคในระยะเริ่มต้น การคัดกรองมะเร็งสามารถช่วยชีวิตคนได้ เช่น มะเร็งเต้านม ปากมดลูก และลำไส้ใหญ่ แต่ในหลายประเทศยังเป็นเรื่องที่เข้าถึงยาก ทั้งที่การตรวจพบเร็วช่วยเพิ่มโอกาสรักษาหายและลดค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้อย่างมาก

ปัจจุบันเราจะเห็นว่า มะเร็งเป็นโรคที่ไม่ได้เกิดเฉพาะในผู้สูงอายุอีกต่อไป ผู้คนวัยทำงานและวัยรุ่นจำนวนมากขึ้นเริ่มได้รับการวินิจฉัยโรคมะเร็ง ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำงาน ความมั่นคงทางการเงิน และครอบครัว ทำให้มะเร็งกลายเป็นปัญหาสังคมไม่ใช่เพียงปัญหาทางการแพทย์เท่านั้น

ที่มา ScienceAlert

Advertisement

Sidebar Search
Popular Now
Loading

Signing-in 3 seconds...

Signing-up 3 seconds...