
ช่วงหลังมานี้เราน่าจะได้ยินคำว่า Ultra Processed Food หรืออาหารแปรรูปสูง หรือ อาหารที่ผ่านกระบวนการแปรรูปมากเป็นพิเศษมากันบ้าง ปัจจุบันอาหารประเภทนี้คิดเป็นเกือบ 60% ของปริมาณแคลอรี่ที่ผู้ใหญ่ชาวอเมริกันบริโภค ในขณะที่เด็กชาวอเมริกันบริโภคเกือบ 70% กันแล้ว กล่าวอีกนัยหนึ่ง อาหารแปรรูปขั้นสูงกำลังเริ่มเข้ามามีบทบามอย่างมากในเมนูอาหารของชาวอเมริกัน
กระแสนี้การทานอาหารแปรรูปขั้นสูงนั้นถือว่าน่ากังวล เพราะอาหารแปรรูปอย่าง ขนมขบเคี้ยวบรรจุหีบห่อ น้ำอัดลม พิซซ่าแช่แข็ง ซีเรียลรสหวาน และอาหารสำเร็จรูป มักประกอบไปด้วยไขมันอิ่มตัว เกลือ และน้ำตาล ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพมากมาย อย่างโรคอ้วน เบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมไปถึงโรคมะเร็งด้วย
ดาเลีย เพเรลแมน (Dalia Perelman) นักวิจัยด้านโภชนาการจากสแตนฟอร์ดบอกว่าสิ่งที่สำคัญของอาหารแปรรูปสูงไม่ใช่แค่เรื่องที่ผู้ผลิตใส่สารอะไรเข้าไปบ้าง แต่รวมถึงสิ่งที่หายไปจากอาหารเหล่านี้ โดยเฉพาะมีไฟเบอร์ ไมโครนิวเทรียน และไฟโตเคมิคอลที่ต่ำ ซึ่งสารเหล่านี้เป็นสารที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติและมีประโยชน์ต่อร่างกาย และนี่คือ 5 เรื่องจริงของอาหารแปรรูปสูงที่หลายคนอาจยังไม่เคยทราบ
สหรัฐอเมริกามีการใช้กระบวนการในการทำอาหารแปรรูปสูงตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เป็นอย่างน้อย (อาจจะเร็วกว่านั้นด้วยซ้ำ) แซคคารินหรือ สารให้ความหวานสังเคราะห์ที่ให้ความหวานกว่าน้ำตาลทราย 300-700 เท่า โดยไม่มีแคลอรีถูกคิดค้นขึ้นในปี 1879 น้ำเชื่อมพิเศษของโคคา-โคล่ารุ่นแรกซึ่งมีส่วนผสมมากมาย ถูกคิดค้นขึ้นในปี 1886 แต่ช่วงเวลาสำคัญที่สุดน่าจะเป็นการประดิษฐ์กรดไขมันทรานส์สังเคราะห์โดยวิลเฮล์ม นอร์แมนน์ นักเคมีชาวเยอรมัน (Wilhelm Normann) ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ค้นพบว่าการเติมไฮโดรเจนลงในน้ำมันพืชหรือน้ำมันปลาสามารถทำให้น้ำมันแข็งตัวได้
น้ำมันไฮโดรจิเนตมีราคาถูกกว่าไขมันสัตว์อย่างน้ำมันหมู น้ำมันเนย และยังสามารถยืดอายุการเก็บรักษาอาหารได้นานมาก จากนั้นไม่นาน ไขมันทรานส์ก็ได้รับความนิยมและแพร่หลายในอาหารทุกประเภท ตั้งแต่ฮอตดอก มายองเนส ไปจนถึงโอรีโอ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงทศวรรษ 1910 แต่ในปี 2015 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาได้สั่งห้ามใช้ไขมันทรานส์ เนื่องจากไขมันทรานส์เพิ่มระดับ LDL หรือคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีในกระแสเลือด ซึ่งทำให้เกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดตมมา
อย่างไรก็ตาม อาหารส่วนใหญ่ที่ชาวอเมริกันบริโภคในศตวรรษที่ 20 ล้วนผ่านกระบวนการแปรรูปขั้นต่ำ การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของอาหารแปรรูปสูงเกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากกองทัพต้องการขนส่งเสบียงในระยะทางที่ไกล ทำให้อาหารต้องสามารถเก็บได้นานโดยที่ยังมีความน่ารับประทาน และมีแคลอรี่ที่สูง ทำให้เกิดการแปรรูปอาหารในรูปแบบต่าง ๆ เช่นแบบแช่แข็ง การอบแห้ง การใช้สารเคมีกันบูด และบรรจุภัณฑ์สำหรับการเก็บอาหาร
คำว่า Ultra Processed Food หรืออาหารแปรรูปสูงเริ่มปรากฏในช่วงปี 1980 แต่ไม่ได้ถูกใช้อย่างแพร่หลายจนกระทั่งปี 2009 โดยนักระบาดวิทยาชาวบราซิล คาร์ลอส มอนเตโร (Carlos Monteiro MD, PhD) ที่เริ่มหยิบคำนี้มาวิจารณ์
เพเรลแมน บอกว่า โดยพื้นฐานแล้ว อาหารแปรรูปสูงจะใช้ส่วนผสมที่หาไม่ได้ทั่วไปในห้องครัว เช่น อิมัลซิไฟเออร์ สีผสมอาหาร สารเพิ่มรสชาติ สารเพิ่มปริมาณ และเจล เป็นต้น นอกจากนี้ อาหารแปรรูปขั้นสูงมักจะมีไขมันอิ่มตัวสูง ปริมาณเกลือสูง และปริมาณน้ำตาลสูง ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทุกคนรู้กันว่าควรทานในปริมาณที่น้อยเข้าไว้ โดย มอนเตโรแลทีมได้พัฒนาระบบจำแนกประเภทอาหารที่เรียกว่า NOVA ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายในการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ รวมถึงนักโภชนาการ NOVA แบ่งอาหารออกเป็นที่งหมด 4 ประเภท ดังนี้

เพเรลแมนบอกว่า มีงานวิจัยหลายชิ้นที่บ่งชี้ว่าการบริโภคอาหารแปรรูปขั้นสูงในปริมาณมากมีความสัมพันธ์กับปัญหาด้านสุขภาพมากมายอย่าง โรคอ้วน โรคเกี่ยวกับกระบวนการเผาผลาญหรือเมตาบอริก โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล และโรคมะเร็ง
จากข้อมูลพบว่าการรับประทานอาหารแปรรูปขั้นสูงในปริมาณมากจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดถึง 50%, ความเสี่ยงต่อความวิตกกังวล 48% เพิ่มความเสี่ยงอัตราการเสียชีวิตจากโรคหัวใจ 66% ความเสี่ยงต่อโรคอ้วน 55% ความผิดปกติของการนอนหลับ 41% โรคเบาหวานประเภท 2 กว่า 40% การเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากสาเหตุใด ๆ ก็ตาม 21% และภาวะซึมเศร้า 20% การศึกษาวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร The BMJ เมื่อปี 2022 พบว่าผู้ชายที่กินอาหารแปรรูปมากที่สุดมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่เพิ่มสูงขึ้นถึง 29%
การรับประทานอาหารแปรรูปขั้นสูง ซึ่งโดยทั่วไปมีไฟเบอร์ต่ำ เป็นอันตรายต่อสุขภาพลำไส้ เนื่องจากอาหารเหล่านี้ย่อยง่าย ส่วนประกอบต่าง ๆ จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้อย่างรวดเร็ว เพเรลแมนกล่าว จุลินทรีย์ในลำไส้ใหญ่ของเราจะกินไฟเบอร์และเศษอาหาร ซึ่งผ่านกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กเข้าไป หากไม่มีอาหารเหล่านี้ จะทำให้จุลินทรีย์อยู่ในภาวะขาอาหาร จุลินทรีย์บางชนิดอาจเริ่มกินเยื่อบุของอวัยวะ ที่ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกัน ซึ่งจะทำให้ลำไส้มีโอกาสติดเชื้อและเกิดการอักเสบมากขึ้นกว่าเดิม
สารปรุงแต่งหลายชนิดเป็นอัตรายต่อลำไส้ เช่น อิมัลซิไฟเออร์ เป็นสารที่รบกวนการทำงานของจุลินทรีย์ในลำไส้ ทำให้เยื่อบุลำไส้อ่อนแอลง ทำให้เกิดภาวะลำไส้อักเสบได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม หรืออย่าง Aspartame หรือสารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่มีความเข้มข้นสูง ทำมาจากกรดอะมิโนสองชนิดคือ กรดแอสปาร์ติก และ ฟีนิลอะลานีน ซึ่งปัจจุบันถูกจัดเป็นสารที่มีความเสี่ยงอาจทำให้เกิดมะเร็งได้
เพเรลแมนกล่าวว่า นักวิทยาศาสตร์ที่พัฒนาสูตรอาหารแปรรูปขั้นสูงนั้นเรียกว่าเก่งมาก ๆ นักวิจัยเหล่านี้ได้คิดค้นรสชาติอาหารจนถึงจุดที่เรียกว่า จุดที่ลงตัวที่สุดของรสชาติ คือการผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างน้ำตาล เกลือ และไขมัน เพื่อให้ได้รสชาติที่อร่อยที่สุด รสชาตเหล่านี้กระตุ้นให้เกิดการบริโภคมากเกินไป นึกถึงโฆษณาที่บอกว่าคุณไม่สามารถทนกินแค่ชิ้นเดียวได้เพราะรสชาติที่อร่อยมาก ๆ ผู้ผลิตกำลังพัฒนาอาหารที่ทำให้เราหยุดทานไม่ได้
เมื่อมอนเตโรและทีมได้วิเคราะห์ค่าใช้จ่ายด้านอาหารในครัวเรือนของชาวบราซิล ก็ได้พบข้อมูลที่มีความขัดแย้งกัน ในช่วงนั้น โรคอ้วนกำลังเป็นโรคที่ได้รับความนิยม มีผู้คนเป็นกันมากขึ้น แต่พฤติกรรมของชาวบราซิลคือเกลือ น้ำตาล ไขมัน และน้ำมันกันน้อยลง แต่พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปคือ ชาวบราซิลหันมาบริโภคอาหารสำเร็จรูป เครื่องดื่ม และของหวานที่มีไขมัน เกลือ และน้ำตาลสูงแทนการทำอาหารเองที่บ้าน อาหารแปรรูปเหล่านี้กำลังเข้ามาแทนที่อาหารที่ปรุงด้วยวัตถุดิบสดใหม่ สิ่งสำคัญคือรสชาติที่ถูกออกแบบให้ถูกปากผู้บริโภคอย่างมาก แต่กลับทำให้รู้สึกอิ่มน้อยลงกว่าเดิม

ในการศึกษาวิจัยแบบสุ่มขนาดเล็กที่ตีพิมพ์ใน Cell Metabolism เมื่อปี 2019 นักวิจัยพบว่าในช่วงเวลา 2 สัปดาห์ ผู้เข้าร่วมที่ได้รับมอบหมายให้รับประทานอาหารแปรรูปขั้นสูงที่ให้พลังงานมากกว่า 500 แคลอรี่ต่อวัน พบว่ากลุ่มนี้มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นประมาณ 2 ปอนด์หรือประมาณ 1 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้ทานอาหารแปรรูป
เพเรลแมนกล่าวว่า เมื่ออาหารแบบ Whole Food ถูกแปรรูปด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง เช่น การเติมเกลือหรือความร้อน ซึ่งบรรพบุรุษของเราเริ่มปรุงอาหารเมื่อประมาณ 1.8 ล้านปีก่อน ก็ถือว่าอาหารเหล่านั้นผ่านกระบวนการแปรรูปขั้นต้นมาแล้ว
อย่างไรก็ตาม การนิยามอาหารต่าง ๆ ยังเป็นที่พูดคุยและถกเถียงกันอยู่ นักวิจัยบางคนเชื่อว่าการตัดสินอะไรเร็วเกินไปก็ไม่ดีเท่าไหร่นัก อย่างการจำแนกประเภทของอาหารแบบ NOVA นั้นดูง่ายเกินไป มีการโต้แย้งกันว่าอาหารบางชนิดอาจแบ่งออกได้อีกเป็น 2 ประเภทย่อย ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้ประเมิน หรือ NOVA ให้ความสำคัญกับอาหารหรือการแปรรูปมากเกินไป อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับคุณค่าทางโภชนาการที่น้อยเกินไป นับเป็นการบั่นทอนความพยายามในการปรับปรุงการโภชนาการทั่วโลกผ่านผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรืออาหารที่ผ่านการแปรรูปมาบ้างแล้ว
เพเรลแมนกล่าวว่า “อาหารแปรรูปสูงช่วยให้ผู้คนเข้าถึงอาหารได้มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มประชากรที่ไม่ได้มีอาหารรับประทานประจำ แต่เราจำเป็นต้องเรียนรู้ว่าอาหารแปรรูปสูงนั้นส่งผลเสียต่อสุขภาพของเราอย่างไรด้วย” เพเรลแมนเชื่อว่า NOVA เป็นหลักการที่สำคัญ เนื่องจากการบริโภคอาหารแปรรูปสูงมีความสัมพันธ์อย่างชัดเจนกับผลกระทบต่อสุขภาพ แต่อาหารแปรรูปบางอย่างก็ไม่ได้เป็นผลเสียต่อสุขภาพไปเสียทั้งหมด เช่น ซีเรียลที่มีธัญพืชเต็มเม็ด (whole grain) น้ำตาลต่ำ อาจดีกว่าอาหารแปรรูปบางชนิดที่ใส่สารปรุงแต่งมากและน้ำตาล/เกลือ/ไขมันสูงมากเกินไป
การเลือกรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพนั้นต้องอาศัยต้องใช้คอมมอนเซนส์มาก ๆ บางคนอาจพูดว่า “โภชนาการนี่มันน่าสับสนจริง ๆ นักวิทยาศาสตร์ก็เปลี่ยนความคิดอยู่เรื่อย” แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่ พวกเราพูดสิ่งเดิม ๆ มาตลอด เพียงแต่มันน่าเบื่อจนคนไม่อยากฟัง โดยเฉพาะเรื่องความพอประมาณ
ดาเลีย เพเรลแมน
เราไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปสูง 100% เพียงแต่พยายามลดปริมาณที่ทานลง อ่านรายละเอียดของส่วนผสมให้ละเอียดขึ้น เพื่อหาอาหารที่มีสารปรุงแต่งน้อยลง เช่น ซื้อซอสพาสต้าที่มีส่วนผสมง่าย ๆ ที่เรารู้จักกันดีอย่าง มะเขือเทศ น้ำมันมะกอก สมุนไพร และไม่ใส่เกลือหรือโซเดียมมากเกินไป อย่างไรก็ตาม การทานผักและผลไม้สด ถั่ว ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่วเปลือกแข็ง และเมล็ดพืช ยังเป็นสิ่งที่สำคัญอยู่
อาหารแปรรูปสูงมีผลกระทบต่อสุขภาพเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่แค่ทฤษฎี งานวิจัยจำนวนมากแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ชัดเจนระหว่างการบริโภคอาหารเหล่านี้กับโรคอ้วน โรคเมตาบอลิซึม ปัญหาเกี่ยวกับการย่อยอาหาร ลำไส้ รวมถึงมะเร็ง
ที่มา Stanford





