ในภารกิจรื้อถอนซากอาคาร สตง. หนึ่งในปัญหาใหญ่ที่เจ้าหน้าที่ภาคสนามต้องเผชิญคือฝุ่นละอองขนาดเล็กที่เกิดจากการเจาะและเคลื่อนย้ายคอนกรีต ซึ่งมีน้ำหนักรวมมากกว่า 4,000 ตัน ตามข้อมูลจากผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ชัชชาติ สิทธิพันธุ์
เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถปฏิบัติงานในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น จึงมีการนำ ‘เจ้ายักษ์ขาว’ เครื่องฟอกอากาศขนาดใหญ่เข้าสนับสนุนภารกิจครั้งนี้ โดยเครื่องดังกล่าวได้รับการพัฒนาโดย อาจารย์ไกรพิชิต เมืองวงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมและผู้นำกลุ่มจิตอาสาเพื่อการจัดการภัยพิบัติ (ERIG) และได้นำเข้าพื้นที่ภายใต้การประสานงานของ คุณเค เยาวราช จิตอาสาผู้มีบทบาทในการผลักดันนวัตกรรมเพื่อสังคมในหลายเหตุการณ์สำคัญของประเทศ
‘ยักษ์ขาว’ คือเครื่องฟอกอากาศอัตโนมัติขนาดใหญ่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานในพื้นที่เสี่ยงภัยโดยเฉพาะ ด้วยกำลังการฟอกอากาศสูงถึง 120,000 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง พร้อมระบบเป่าลมสะอาดแบบ 360 องศา ที่ช่วยกระจายอากาศบริสุทธิ์รอบพื้นที่ปฏิบัติงาน หัวใจของระบบคือ Jet Venturi Scrubber เทคโนโลยีที่ใช้แรงดันน้ำร่วมกับแรงเหวี่ยงในการดักจับฝุ่นละอองขนาดเล็ก โดยอาศัยพลังงานจากแผงโซลาร์เซลล์ขนาด 3,680 วัตต์ ทำให้เครื่องสามารถทำงานได้ต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องพึ่งพาระบบไฟฟ้าภายนอก
การติดตั้ง ‘ยักษ์ขาว’ ในพื้นที่ช่วยสร้าง ‘Safe Zone’ ลดความเสี่ยงจากการสูดฝุ่นอันตรายโดยตรง ช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถทำงานได้คล่องตัวยิ่งขึ้นโดยไม่ต้องสวมอุปกรณ์ป้องกันหนักตลอดเวลา
แม้ ‘ยักษ์ขาว’ จะเป็นที่รู้จักจากภารกิจล่าสุดในสถานการณ์ภัยพิบัติ แต่เบื้องหลังของเครื่องนี้มีต้นทางมาจาก ‘ฟ้าใส’ หอฟอกอากาศขนาดใหญ่ที่ อ.ไกรพิชิต เคยพัฒนาร่วมกับศูนย์วิจัย RISC และ MQDC เมื่อปี 2563
‘ฟ้าใส’ ถูกติดตั้งเป็นต้นแบบถาวรที่โครงการ 101 True Digital Park ใช้พลังงานจากแผงโซลาร์เซลล์ขนาด 3,850 วัตต์และมีกำลังฟอกอากาศในระดับใกล้เคียงกับยักษ์ขาว โดยมีเป้าหมายเพื่อทดสอบระบบฟอกอากาศในพื้นที่เมืองที่มีประชากรหนาแน่น
ความต่างระหว่างสองเครื่องคือรูปแบบการใช้งาน ฟ้าใสเน้นติดตั้งถาวรในพื้นที่เมือง ขณะที่ยักษ์ขาวถูกพัฒนาให้ เคลื่อนย้ายสะดวก, ติดตั้งไว, และเหมาะกับพื้นที่วิกฤตที่ต้องการตอบสนองอย่างฉับไว เช่น จุดถล่ม, โรงงานไฟไหม้ หรือพื้นที่ที่มีฝุ่นพิษสูงเฉพาะกิจ
ในยุคที่ปัญหามลพิษกลายเป็นภัยเงียบ เครื่องฟอกอากาศมักถูกมองว่าเป็นของใช้ภายในบ้านหรืออาคารเท่านั้น แต่ภารกิจครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า นวัตกรรมไทยสามารถขยายขอบเขตจากการใช้ในชีวิตประจำวัน สู่การเป็นเครื่องมือสำคัญในงานกู้ภัยระดับชาติ