งานวิจัยชี้ เกิดมารวยมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าเกิดมาแล้วฉลาด

THE SUMMARY:

งานวิจัยจาก Georgetown Center on Education and the Workforce (CEW) ชี้ให้เห็นถึงความจริงที่น่าหนักใจในสังคมอเมริกันว่าการเกิดมารวย มีโอกาสในการประสบความสำเร็วมากกว่าการเกิดมาฉลาด ซึ่งเด็ก ๆ ในสหรัฐฯ ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เล็กว่าความพยายามจะนำชีวิตไปสู่ความสำเร็จ

รายงาน Born to Win, Schooled to Lose พบว่า ความมั่งคั่งของครอบครัวเป็นตัวแปรที่มีผลมากกว่าความสามารถทางวิชาการของเด็กเสียอีก โดย แอนโธนี่ พี. คาร์เนเวล (Anthony P. Carnevale) ผู้อำนวยการ CEW และหัวหน้าทีมวิจัย กล่าวว่า ถ้าต้องการประสบความสำเร็จในสหรัฐอเมริกา การเกิดมารวยนั้นได้เปรียบกว่าเกิดมาฉลาด คนเก่งจำนวนมากกลับไม่ประสบความสำเร็จ และยังมีข้อมูลที่ชี้ว่า คนเก่งที่มาจากครอบครัวยากจนมีโอกาสไปไม่ถึงจุดเดียวกับคนที่มีความสามารถน้อยกว่า แต่เกิดในครอบครัวที่มีความได้เปรียบทางทรัพยากรสูงกว่า

ทีมวิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลจาก National Center for Education Statistics (NCES) เพื่อติดตามเส้นทางชีวิตของเด็กตั้งแต่ชั้นอนุบาลไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ โดยวัดสติปัญญาผ่านคะแนนสอบคณิตศาสตร์มาตรฐาน และจำแนกเด็กตามสถานะเศรษฐกิจ–สังคม ทั้งรายได้ครัวเรือน ระดับการศึกษาของพ่อแม่ และสถานะทางอาชีพ ผลการศึกษาพบว่า เด็กอนุบาลจากครอบครัวยากจนที่ได้คะแนนสูง กลับมีโอกาสน้อยกว่าในการจบมัธยม จบมหาวิทยาลัย หรือได้งานที่มีรายได้สูง เมื่อเทียบกับเด็กจากครอบครัวฐานะดีที่ได้คะแนนต่ำ โดยเด็กจากกลุ่มฐานะแย่ที่สุด แต่สอบได้อยู่ในกลุ่มท็อป 25% มีเพียง 31% เท่านั้นที่จะได้ปริญญาและมีรายได้ตามค่าเกณฑ์มาตรฐานเมื่ออายุ 25–35 ปี ส่วนเด็กที่ม่จากครอบครัวที่มีฐานะสูงที่สุดแต่คะแนนอยู่ในกลุ่มระดับล่าง 25% กลับมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จระดับเดียวกันถึง 71%

แม้เด็กจากครอบครัวยากจนที่มรการศึกษาดี เรียนจนจบปริญญา แต่คนกลุ่มนี้ก็ยังต้องเผชิญความเหลื่อมล้ำต่อไป เด็กกลุ่มนี้มีเพียง 76% ที่สามารถไต่ขึ้นไปสู่จุดที่สูงในระบบเศรษฐกิจ–สังคมสูงเมื่ออายุ 25 ปี ขณะที่เด็กจากครอบครัวร่ำรวยที่ได้คะแนนต่ำแต่เรียนจบมหาวิทยาลัยกลับมีโอกาสสูงถึง 91% ที่จะสามารถรักษาสถานะทางสังคมเอาไว้ได้ ซึ่งคาร์เนเวลอธิบายว่า ความเหลื่อมล้ำนี้ไม่ได้เกิดจากแค่สถานศึกษาเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวข้องกับปัจจัยเชิงโครงสร้าง เช่น เชื้อชาติ ชนชั้น เพศ สิ่งแวดล้อมในบ้าน จำนวนสื่อการเรียนที่เด็กเข้าถึง แม้แต่สารที่เด็กแต่ละคนรับมาในวัยเด็ก ซึ่งล้วนสะท้อนถึงความซับซ้อนของความได้เปรียบ–เสียเปรียบ

รายงานยังเสริมว่า เด็กในครอบครัวรายได้สูงได้รับข้อได้ในการพัฒนาตัวเองที่มากกว่า อย่างในปี 2016 ครอบครัวฐานะดีใช้เงินเฉลี่ย 8,600 เหรียญหรือ 278,000 บาทต่อปีเพื่อกิจกรรมพัฒนาศักยภาพเด็ก ขณะที่ครอบครัวยากจนสามารถใช้ไดเพียง 1,700 เหรียญหรือประมาณ 55,000 บาทต่อปีเท่านั้น

คาร์เนเวลระบุว่า เด็กทุกคนล้วนล้มลงในบางช่วง แต่ความต่างอยู่ที่ว่าใครจะสามารถล้มแล้วลุกได้ โดยเฉพาะในแง่ของการมีทรัพยากรคอยประคับประคอง และอีกกลุ่มคือใครที่ล้มแล้วลุกไม่ได้เพราะขาดการสนับสนุน คาร์เนเวลเชื่อว่าหากทรัพยากรช่วยให้เด็กที่คะแนนต่ำแต่ฐานะดีประสบความสำเร็จได้ การสนับสนุนแบบเดียวกันก็น่าจะช่วยให้เด็กฉลาดแต่ฐานะยากจนมีโอกาสไต่ขึ้นสูงได้เช่นกัน

ที่มา CNBC

Advertisement

Sidebar Search
Popular Now
Loading

Signing-in 3 seconds...

Signing-up 3 seconds...