เดี๋ยวนี้โลกการตลาดหมุนเร็วกว่าที่เคย และในปี 2025 นี้ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่นักการตลาดไม่อาจมองข้ามได้อีกต่อไป จากเวทีสัมมนา ‘Marketing Conference 2025’ หรือ MKTCON 2025 ที่จัดขึ้น ณ ไบเทค บางนา เมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา ได้มีการฉายภาพอนาคตของวงการ ที่ซึ่งนักการตลาดต้องปรับตัวและพัฒนาทักษะรอบด้านเพื่ออยู่รอดและเติบโตในยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง
บทความนี้ จะเป็นการสรุปเนื้อหาของหลายหัวข้อด้วยกัน ประกอบไปด้วย
โดยได้มีการรวมเนื้อหาทั้งหมดเอาไว้ในบทความเดียว เพื่อให้นักการตลาดได้เข้าใจถึงวงการการตลาดในปัจจุบันให้ละเอียด และเท่าทันโลกมากยิ่งขึ้น
ในยุคที่ใคร ๆ ก็สามารถทำการตลาดได้ นักการตลาดในปี 2026 จะต้องยกระดับตัวเองสู่การเป็น ‘Augmented Marketer’ หรือนักการตลาด ที่สามารถผสานรวมทักษะของมนุษย์ เข้ากับเทคโนโลยีได้อย่างลงตัว โดยต้องมีคุณสมบัติสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ ความคิดสร้างสรรค์ขั้นสุด (Ultra Creativity) ที่มาพร้อมกับความช่างสงสัยและสังเกตพฤติกรรมผู้บริโภค, ความสามารถในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากข้อมูลและ AI (Tech Awareness) และความคล่องตัวเชิงกลยุทธ์ (Strategic Agility) ที่พร้อมปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว
หัวใจสำคัญของการตลาดยุคใหม่นี้ ประกอบด้วย 3 ส่วนหลักที่ต้องทำงานร่วมกัน คือ Human (คน) ที่ยังคงเป็นแกนหลักด้วยความคิดสร้างสรรค์และประสบการณ์ที่ AI ไม่สามารถทดแทนได้ เช่น การที่ MK เข้าใจบริบทของคนไทยและเลือกใช้การตลาดแบบเล่นคำบนสถานีรถไฟฟ้า, Data (ข้อมูล) ที่แม้ทุกคนจะเข้าถึงได้ แต่ความท้าทายคือการนำข้อมูลมาวิเคราะห์ให้เกิดเป็น Insight เพื่อนำไปใช้งานได้จริง และ Tech (เทคโนโลยี) ที่เข้ามาช่วยทุ่นแรงและเพิ่มขีดความสามารถในการทำงานให้ไร้ขีดจำกัด
ผู้บริโภคไทยในปีหน้า มีแนวโน้มที่จะต้องแบกรับภาระค่าครองชีพที่สูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้การใช้จ่ายลดลงบ้าง แต่ยังคงมีการจับจ่ายใช้สอยอยู่เสมอ โดยมีเทรนด์ที่น่าสนใจเกิดขึ้น คือ ‘นักช็อปสายมู’ ที่ความเชื่อและสิ่งศักดิ์สิทธิ์กลับมามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้ออย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Z ที่กว่า 80% เชื่อในเรื่องนี้ นอกจากนี้ยังมีกลุ่ม ‘นักสุขนิยม’ ที่แม้จะมีเป้าหมายการใช้จ่ายที่ชัดเจน แต่ก็ยังให้ความสำคัญกับความสุขระหว่างทางด้วย
เทรนด์การบริโภคอย่างมีสติ (Mindful Consumption) แสดงออกแตกต่างกันไปในแต่ละเจเนอเรชัน โดย Gen Z จะให้ความสำคัญกับสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco Friendly) และมีการเปรียบเทียบราคาอย่างละเอียด ด้านสินค้าสุขภาพและความงาม กลุ่ม Baby Boomer จะมองหาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้มีอายุยืนยาว (Longevity) ในขณะที่ Gen Z จะเน้นเรื่องสุขภาพใจ (Mindful) มากกว่า
สำหรับสินค้ากลุ่มแกดเจ็ตและเทคโนโลยี Baby Boomer จะสนใจแกดเจ็ตเพื่อสุขภาพ ส่วน Gen Y หันมาลงทุนกับแกดเจ็ตสำหรับสัตว์เลี้ยงมากขึ้น และ Gen Z จะเน้นไปที่หูฟังและอุปกรณ์เกมมิง รวมถึง Beauty Tech ส่วนพฤติกรรมการบริโภคอาหารก็แตกต่างกัน โดยกลุ่มผู้สูงวัยจะเน้นวัตถุดิบคุณภาพ, Gen X เน้นความคุ้มค่า, Gen Y มองหาความสมดุล และ Gen Z นิยมอาหารสำเร็จรูปพร้อมทาน
จากพฤติกรรมที่ซับซ้อนและอาการ ‘Attention Crash’ (ไถ-ข้าม-ลืม) ของผู้บริโภค นักการตลาดจำเป็นต้องวางกลยุทธ์ที่เฉียบคมขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้กลยุทธ์ข้ามแพลตฟอร์ม (Cross-Platform) เพื่อตอบสนองลูกค้าในทุกช่องทาง การสร้างสมดุลระหว่างการสร้างยอดขายระยะสั้น (ROI) และการสร้างคุณค่าให้แบรนด์ในระยะยาว (Brand Equity) เพื่อให้ยังคงเป็นที่จดจำในตลาดที่มีการแข่งขันสูง
การร่วมมือกับ KOLs หรือ Influencer ยังคงเป็นกลยุทธ์ที่ทรงพลัง เนื่องจากผู้บริโภคกว่า 70% ตัดสินใจซื้อสินค้าตามคนที่พวกเขาเชื่อถือ ซึ่งปัจจุบันมีอินฟลูเอนเซอร์ที่เข้าถึงได้ทุกเจเนอเรชัน และการใช้ Micro-Influencer ก็ได้รับความนิยมมากขึ้นเพราะสร้างความน่าเชื่อถือได้สูง นอกจากนี้ การใช้ Data เพื่อทำความเข้าใจ Customer Journey ยังคงเป็นสิ่งจำเป็น อย่างเช่น The1 ที่ใช้ข้อมูลลูกค้าแบบ 360 องศา มานำเสนอสินค้าและโปรโมชันที่ตรงใจผ่านเครื่องมือ AI อย่าง ‘Promotion Guru’ เป็นต้น
การใช้คอนเทนต์นำการตลาด ก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สร้างผลลัพธ์ได้อย่างดี ตัวอย่างเช่นแคมเปญของ MK ที่ตัดสินใจรีแบรนด์ชั่วคราวเป็น ‘MongKol’ ในช่วงเทศกาลตรุษจีนที่ผ่านมา ซึ่งไม่เพียงทำลายภาพลักษณ์เดิม ๆ แต่ยังสามารถต่อยอดไปสู่กิจกรรมอื่น ๆ ได้ เช่น ชาเลนจ์กินบะหมี่หยกเส้นยาว หรือการเกาะกระแสไวรัล ‘มงคลเปิดประตูให้เปี๊ยกหน่อย’ เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมให้กับแบรนด์ และนำไปสู่การกลับมาซื้อซ้ำของคนรุ่นใหม่ได้อีกด้วย
ความคิดสร้างสรรค์ ยังช่วยแก้ปัญหาข้อจำกัดทางการตลาดได้ เช่น การทำโฆษณาคอนแทคเลนส์ที่ไม่สามารถหยิบจับสินค้าให้ดูได้ ก็ถูกนำมาสร้างเป็นแกนหลักของเรื่องราว หรือกรณีของ Salmon House ที่ร่วมมือกับ Workpoint สร้าง ‘ซิทคอมในเอเจนซีโฆษณา’ ขึ้นมา เพื่อให้สามารถโฆษณาสินค้าได้อย่างเป็นธรรมชาติและไม่ถูกปิดกั้นโดยผู้บริโภค
เทคโนโลยีการตลาด (Martech) โดยเฉพาะ Generative AI ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการทำงานอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีทีมการตลาดถึง 85% ที่เริ่มนำ GenAI มาใช้ และ CMOs กว่า 93% ยืนยันว่าได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่คุ้มค่า ทั้งยังช่วยประหยัดเวลาทำงานได้เฉลี่ย 2.5 ชั่วโมงต่อคนต่อวัน
ขณะเดียวกัน ตลาด Predictive Analytics ที่ใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคก็คาดว่าจะเติบโตมีมูลค่ากว่า 22,200 ล้านเหรียญภายในปี 2025 สิ่งนี้จะนำไปสู่การตลาดแบบเฉพาะบุคคลขั้นสูง (Hyper-Personalization) ที่สร้างประสบการณ์ตรงใจผู้บริโภคได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม การเติบโตของ AI ก็มาพร้อมกับกฎหมายกำกับดูแลที่เข้มข้นขึ้นด้วยเหมือนกัน โดยมีกว่า 127 ประเทศที่เริ่มบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว
ในแง่ของโซเชียลมีเดีย นักการตลาดต้องเข้าใจว่าแต่ละแพลตฟอร์มมีจุดเด่นต่างกัน เช่น Facebook มีจำนวนคอนเทนต์เยอะที่สุด แต่ TikTok กลับมียอด Engagement สูงสุด นอกจากนี้ Engagement ยังแตกต่างกันไปในแต่ละอุตสาหกรรม เช่น ธุรกิจธนาคารอาจได้ผลตอบรับดีบน Facebook ในขณะที่ธุรกิจเครื่องสำอางจะเติบโตได้ดีกว่าบน TikTok
สุดท้ายคือเทรนด์การ ‘Pivot’ ธุรกิจ โดยนำสินค้าเดิมไปเจาะตลาดใหม่ผ่านการรีแบรนด์ เช่น Adidas ที่ขยายตลาดสู่กลุ่มสุขภาพและไลฟ์สไตล์, ศรีจันทร์ ที่ปรับภาพลักษณ์ให้เข้าถึงกลุ่มวัยรุ่นมากขึ้น หรือ ชาตรามือ ที่สร้างแบรนด์ย่อยอย่าง CTM เพื่อเจาะตลาดพรีเมียม
จะเห็นได้ว่า การตลาดในอนาคตมีเทรนด์ที่น่าจับตามองไม่น้อยเลยทีเดียว และยังนำไปสู่การทำการตลาดที่ดีขึ้นในอนาคตได้ด้วย ซึ่งเนื้อหาทั้งหมดนี้ เป็นแค่ส่วนหนึ่งของแนวทางในการทำการตลาดในอนาคต ที่ได้มาจากงาน Marketing Conference 2025 เท่านั้น ทำให้เรารู้ได้เลยว่าโลกการตลาดในวันข้างหน้า เต็มไปด้วยความท้าทาย และยังคงเป็นเวทีที่สำคัญสำหรับนักการตลาดทุกคนที่ต้องการจะเติบโตและก้าวให้ทันโลกต่อไป