Tim Cook ผู้บริหารของ Apple ให้สัมภาษณ์สุดพิเศษ ไข้ข้อสงสัยทำไม Apple ถึงวางเดิมพันไว้กับแว่นตา Vision Pro ที่มีราคาสูงถึง 3500 ดอลลาร์ ว่ามันจะมาเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตและการทำงานเราไปอย่างไร
Vision Pro
Tim Cook เปิดเผยว่า ได้ทดลองใช้งานแว่นตา Vision Pro ครั้งแรกเมื่อ 7-8 ปีก่อนซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้ตั้งชื่อนี้ ซึ่งมันผ่านการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นดีไซน์แบบที่เราเห็นทุกวันนี้ โดยเริ่มวางขายในวันที่ 2 กันยายนนี้
สิ่งที่น่าสนใจคือช่วงที่เปิดให้สั่งจองล่วงหน้านั้นมียอดเข้ามาถึง 200,000 เครื่อง แม้จะเป็นสินค้าเฉพาะกลุ่มแต่คนกลุ่มแรกก็ยอมควักเงิน 3,500 ดอลลาร์หรือ 122,000 บาทอย่างง่ายดายเพื่อจับของอุปกรณ์สุดล้ำก่อนใคร แต่งานของ Apple นั้นคือการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้ในวงกว้าง ถึงการใช้งานในชีวิตประจำวัน การทำงาน การใช้งานด้านความบันเทิง การเก็บความทรงจำ
เขาได้ลองถามความเห็นของผู้กำกับหลายคนที่ได้ลองใช้งาน Vision Pro ครั้งแรกว่ารู้สึกอย่างไร
Apple เริ่มพัฒนาแว่นตานี้มาตั้งแต่ 25 ปีก่อนช่วยปลายปี 90s ในสมัยที่ Steve Jobs ยังเป็นผู้บริหารอยู่ ซึ่ง Tim Cook เพิ่งได้เห็นเครื่องต้นแบบเมื่อไม่กี่ปีก่อน
ด้วยชิปประมวลผล Apple M2 ที่ความหน่วงแทบจะเป็นศูนย์ ชิป R1 และสิทธิบัตรอีกกว่า 5,000 ฉบับและเวลาพัฒนากว่า 7 ปีกว่าจะออกมาเป็น Vision Pro สิ่งที่สะท้อนกลับมาคือเรื่องของขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ น้ำหนักค่อนข้างมาก ซึ่งปัญหานี้จะยังไม่ได้รับการแก้ไขในหนึ่งปีนี้อย่างแน่นอน ทางนักวิเคราะห์มองว่าเทคโนโลยีนี้จะยังไม่เข้าถึงคนหมู่มากจนกว่าจะทำให้แว่นตาเห็นชัดน้อยลง
ส่วน Apple Vision Pro จะประสบความสำเร็จทางรายได้หรือไม่ นักวิเคราะห์ของ Wall Street เชื่อว่า Apple ทำยอดขายได้ประมาณ 180,000 เครื่องในช่วงสุดสัปดาห์ที่เปิดพรีออร์เดอร์ออนไลน์ โดยใน 5 ปีข้างหน้า ยอดขายจะเพิ่มขึ้นเป็น 2-4 ล้านเครื่องต่อปี เมื่อถึงเวลานั้นเราน่าจะได้เห็นแว่นตาเวอร์ชันที่ราคาถูกกว่า 1,500 ดอลลาร์หรือ 52,800 บาท
Tim Cook บอกว่า Vision Pro นั้นใช้งานได้อย่างยืดหยุ่น สามารถนอนบนโซฟาและเอาจอไปไว้บนเพดานได้ ซึ่งเขาก็ได้นอนดูคอนเทนท์ต่างๆเช่น Ted Lasso ซีซั่นที่สาม / Ford v Ferrari บนเพดาน ด้วยระบบเสียงรอบทิศทางทำให้เหมือนอยู่ในสถานมแข่งรถจริงๆ นอกจากนั้นยังใช้แว่นตาช่วยทำสมาธิในระดับที่แตกต่าง หลังจากก่อนหน้านี้เจอปัญหาในการนั่งสมาธิมาโดยตลอด รวมถึงยังใช้แว่นตาในการทำงานด้วย
“เรารู้สึกตื่นเต้นกับบางสิ่งบางอย่าง จากนั้นเราก็เริ่มดึงเชือกแล้วดูว่ามันจะพาเราไปที่ไหน เรามีแผนและมุมมองที่ชัดเจน แต่ส่วนใหญ่ยังต้องสำรวจและค้นหาคำตอบด้วย บางครั้งจุดต่างๆ ก็เชื่อมโยงกัน และพวกมันก็พาคุณไปยังสถานที่ที่ไม่คาดคิด
คำถามก็คือ สถานที่ที่เรากำลังจะไป เข้าสู่ยุคของการประมวลผลเชิงพื้นที่ จะทำให้ชีวิตของเราดีขึ้น หรือมันจะกลายเป็นเทคโนโลยีต่อไปที่กลายเป็นสิ่งจำเป็น เราไม่สามารถอยู่ในโลกที่ไม่มี Augmented Reality ได้
เราได้ก้าวไปสู่อนาคตและคว้าผลิตภัณฑ์นี้มา คุณกำลังวางอนาคตไว้บนใบหน้า Apple กำลังพาเราไปสู่อนาคต เข้าสู่ยุคใหม่ของการประมวลผล นี่คืออนาคตของคอมพิวเตอร์ ความบันเทิง และแอปต่างๆ และ ความทรงจำและอุปกรณ์นี้ที่อยู่รอบศีรษะของเราที่จะเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างไป”
ที่มา vanityfair