กลายเป็นประเด็นร้อนบนโซเชียล เมื่อเครื่องกรองนำ RO ของแบรนด์ดังมีค่าแบคทีเรียโคลิฟอร์มเกินมาตรฐาน วันนี้ลองไปทำความรู้จักกับระบบกรองน้ำ RO ให้มากขึ้นว่าทำงานอย่างไร
RO หรือ Reverse Osmosis คือ ระบบกรองน้ำที่ได้รับความนิยมทั่วโลก ผ่านการรับรองจาก EPA (Environmental Protection Agency) ของสหรัฐฯ เนื่องจากมีคุณภาพสูง สามารถกำจัดสิ่งสกปรกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อแบคทีเรีย สารเคมี โลหะหนักได้มากถึง 95 %
น้ำที่ได้ยังปราศจากสีและกลิ่นเหมาะสำหรับการบริโภค แถมการติดตั้งทำได้ง่ายทำให้นิยมใช้งานในครัวเรือน รวมถึงหลายๆ อุตสาหกรรมเพื่อผลิตน้ำที่สะอาดและปลอดภัยสำหรับอุปโภคและบริโภค
หลักการทำงานของระบบ RO
ระบบน้ำ RO นั้นจะใช้เแผ่นกรอง Membrane ที่มีรูพรุนขนาดเล็ก 0.0001 ไมครอน ซึ่งขนาดเล็กกว่าเส้นผมของมนุษย์อีก ช่วยกรองสิ่งสกปรกและสารปนเปื้อนต่าง ๆ ที่มากับน้ำ เช่น สารเคมี โลหะหนัก แบคทีเรีย
ก่อนที่น้ำจะมาถึงเแผ่นกรอง Membrane นั้นจะต้องผ่านไส้กรองด่านหน้า 3 ชุดก่อน เพื่อป้องกันอนุภาคหรือตะกอนขนาดใหญ่ไปอุดตัน จนทำให้ประสิทธิภาพการกรองน้ำลดลง
เมื่อนำผ่านไส้กรองทั้ง 3 ชุดนี้แล้วก็จะเข้าสู่แผ่นกรอง Membrane ระบบใช้แรงดันให้น้ำผ่านแผ่นกรองเพื่อดักจับสิ่งสกปรกต่างๆ ไม่ให้โลหะหนัก ตะกั่ว ปรอท และเชื้อโรคผ่านไปได้
จากนั้นน้ำที่ผ่านการกรองแล้วจะส่งต่อไปยังไส้กรองคาร์บอนอีกครั้ง เพื่อกำจัดกลิ่น สี หรือสารเคมีที่ยังเหลืออยู่ จนได้น้ำสะอาดส่งไปเก็บในถังเพื่อรอนำไปใช้ในการอุปโภคบริโภค
ข้อเสียของ RO
ระบบ RO นั้นก็มีข้อเสียเหมือนกัน คือ ระบบจะมีน้ำทิ้งเยอะพอสมควร จากน้ำที่ส่งเข้ามาในระบบ 100% เราจะได้น้ำบริสุทธิ์ที่ผ่านการกรองแล้วแค่ 30-40% เท่านั้น ส่วนที่เหลือจะเป็นน้ำที่มีสารปนเปื้อนไม่สามารถนำมาบริโภคได้ แต่สามารถเอาไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้ เช่น รดน้ำต้นไม้ ล้างรถ ล้างจาน
ส่วนไส้กรองประเภทต่างๆ เองก็มีอายุการใช้งานไม่เท่ากัน ไส้กรองด่านหน้า 3 ชุดจะมีอายุการใช้งาน 6-8 เดือน ส่วนไส้กรอง Membrane นั้นจะมีอายุการใช้งาน 1 ปี ทั้งนี้ขึ้นกับคุณภาพน้ำของแต่ละพื้นที่ด้วย
จะเห็นว่าระบบ RO นั้นมีความปลอดภัยค่อนข้างสูงและเป็นที่ยอมรับระดับสากล ส่วนดรามาที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ก็ต้องการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญก่อนว่าต้นเหตุที่แห้จริงเกิดจากอะไร
ที่มา siamcoolermart / mittwater