วงการแท็บเล็ตนี่เป็นวงการที่แข่งขันกันสูงไม่น้อยเลย โดยเฉพาะแท็บเล็ตราคาคุ้มค่า ที่การออกแท็บเล็ตที่เหมาะทั้งสายใช้งานทั่วไป สายนักเรียน นักศึกษาที่อยากใช้แท็บเล็ตแค่เริ่มต้น เรียนหนังสือ หรือใครที่แค่อยากได้แท็บเล็ตเอาไว้ใช้ดูหนัง ดูซีรีส์ ‘Redmi Pad 2’ เครื่องนี้อาจจะตอบโจทย์ของเราก็ได้นะ ใครที่กำลังเล็ง ๆ แท็บเล็ตราคาประหยัดอย่าง Redmi Pad 2 เครื่องนี้อยู่ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังว่าน่าซื้อแค่ไหน ?
ต้องบอกว่าจุดเด่นที่สุดของ Redmi Pad 2 คือเรื่องหน้าจอเลย ด้วยขนาดที่ให้มาใหญ่ที่ 11 นิ้ว และความละเอียดสูงระดับ 2.5K ทำให้หน้าจอเวลามอง จะเห็นภาพที่ชัดไม่น้อยเลย ข้อดีของจอชัด ๆ คือเวลาดูซีรีส์, เรียนออนไลน์ผ่าน Zoom หรืออ่าน E-book ก็ให้ภาพที่ดูชัด และไม่ปวดตามากนัก เพราะภาพชัดมากพอนั่นเอง แถมยังได้อัตรารีเฟรช 90Hz มาด้วย ทำให้การไถหน้าจอหรือเล่นโซเชียลมีเดียลื่นไหลกว่าหน้าจอ 60Hz ทั่วไปอย่างรู้สึกได้
แต่ว่า ด้วยความที่ตัวเครื่องเป็นแท็บเล็ตระดับเริ่มต้น – กลาง ๆ ทำให้ YouTube สามารถเปิดได้ที่ความละเอียดสูงสุดได้แค่ 1440P เท่านั้น และด้วยความที่เป็นหน้าจอ LCD เลยทำให้ไม่สามารถแสดงผลแบบ HDR ได้นะ เพราะงั้น ถ้าเน้นเรื่องการใช้งานแบบเบื้องต้น หน้าจอนี้ถือว่าดีมากแล้ว
ที่สำคัญคือ Xiaomi ยังใส่ใจเรื่องสุขภาพสายตา โดยหน้าจอของ Redmi Pad 2 ได้รับการรับรองจาก TÜV Rheinland ทั้งในด้านการลดแสงสีฟ้า (Low Blue Light) และการปราศจากการกระพริบ (Flicker-Free) ทำให้ใช้งานนาน ๆ แล้วตาล้าน้อยลง เหมาะกับน้อง ๆ นักเรียนนักศึกษาที่ต้องจ้องหน้าจอนาน ๆ เป็นพิเศษเลยล่ะ ที่จะเป็นข้อจำกัดคือหน้าจอ LCD นี่แหละ ที่ทำให้อาจจะยังเกิดอาการตาล้าบ้างเล็กน้อยเวลามองนาน ๆ
นอกจากนั้น ตัวเครื่อง Redmi Pad 2 นั้น ได้ให้ลำโพง 4 ตัวที่รองรับ Dolby Atmos ด้วยในตัว ซึ่งก็ได้ให้เสียงที่ดังดีเลยทีเดียว แต่ลำโพงอาจจะไม่ได้มีความแน่นของเสียงมากนัก ซึ่งถ้าเน้นเรื่องการใช้งานดูคอนเทนต์ทั่ว ๆ ไปแล้ว เท่านี้ถือว่าทำได้ดีแล้วสำหรับราคานี้
Redmi Pad 2 มาพร้อมกับชิปเซต MediaTek Helio G100-Ultra ซึ่งเป็นชิปที่ออกแบบมาเน้นใช้งานในชีวิตประจำวัน ถามว่าแรงไหม ? สำหรับการใช้งานทั่วไปอย่างดู YouTube, Netflix, เล่นโซเชียล, สลับแอปฯ ไปมา หรือเรียนออนไลน์ ถือว่าทำได้สบาย ๆ เลย นอกจากนั้น หลังจากที่ได้ลองทดสอบประสิทธิภาพต่าง ๆ ของตัวเครื่องแล้ว ระดับคะแนนอยู่ในระดับที่ไม่สูงมาก แต่เน้นใช้งานทั่ว ๆ ไปก็ได้อยู่นะ
แต่ให้พูดกันตามตรง ด้วยความที่ Redmi Pad 2 เป็นแท็บเล็ตราคาประหยัด อาจจะไม่ได้แรงเทียบเท่าแท็บเล็ตราคาหลักหมื่นแน่นอน หากเปิดแอปพลิเคชันค้างไว้เยอะ ๆ หรือสลับแอปฯ ไปมาแบบเร็ว ๆ ก็อาจจะมีจังหวะที่ตัวเครื่องหน่วงให้เห็นบ้างเล็กน้อย ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ในแท็บเล็ตในเรตราคานี้
ถ้าเอามาเล่นเกม ยังพอเอามาเล่น RoV ได้ไหวอยู่ คือปรับสูงได้ดี แต่ไม่สามารถปรับ ‘ภาพ HD’ ให้สูงสุดได้นะ ตัวเกมจะห้ามเอาไว้ แต่ถ้าปรับสูงสุดที่สามารถเลือกได้ ก็เล่นได้ลื่นอยู่เหมือนกัน
ส่วนเรื่องซอฟต์แวร์ ก็ได้ใช้ระบบปฏิบัติการใหม่อย่าง Xiaomi HyperOS 2 ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของ Android 15 ที่ออกแบบมาให้ทำงานร่วมกับอุปกรณ์อื่น ๆ ของ Xiaomi ได้อย่างราบรื่นมาก ๆ เช่น การรับสายโทรศัพท์จากมือถือบนแท็บเล็ต หรือการคัดลอกข้อความข้ามอุปกรณ์ เรื่องนี้ ใครที่มีมือถือ Xiaomi อยู่แล้วจะได้เปรียบเป็นพิเศษเลยล่ะ
อีกฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาคือ เราสามารถเชื่อมต่อเครื่อง Mac ของเราเพื่อโชว์ขึ้นหน้าจอของเครื่อง Mac ของเราเป็นหน้าจอที่ 2 ได้ด้วยนะ ผ่านเมนู ‘การขยายจอแสดงผลไร้สาย’ ที่แค่เปิดไว้ เราก็สามารถเลือก Screen Mirror จากจอ Mac ของเราได้เลย หลักการทำงานคือ Redmi Pad 2 ของเราจะทำหน้าที่เป็น Apple TV เพื่อรับภาพจากเครื่อง Mac ของเรานั่นเอง เพียงแต่ว่า ต่อให้อินเทอร์เน็ตแรงพอแล้ว แต่ภาพแจาก Mac ที่โชว์ขึ้นไปก็ยังแอบช้าอยู่หน่อย ๆ นะ
อีกหนึ่งไฮไลต์ที่น่าสนใจมาก ๆ ของ Redmi คือแบตเตอรี่ที่ให้มาเยอะถึง 9,000 mAh ซึ่งถือว่าเยอะมาก ๆ สำหรับแท็บเล็ตในราคานี้ ทำให้สามารถใช้งานข้ามวันได้แบบสบาย ๆ ไม่ว่าจะพกไปเรียนทั้งวัน หรือจะนอนดูซีรีส์มาราธอนในวันหยุด ก็ทำได้แบบสบาย ๆ ไม่ต้องคอยชาร์จบ่อย ๆ
แต่ก็มีจุดสังเกตเล็กน้อย คือเรื่องความเร็วในการชาร์จ ที่รองรับเพียง 18W เท่านั้น ด้วยขนาดแบตเตอรี่ที่ใหญ่ขนาดนี้ การชาร์จจาก 0-100% อาจจะต้องใช้เวลาไม่น้อยเลย แล้วด้วยความที่คู่แข่งในเรตราคาใกล้ ๆ กันนั้น ได้ให้ระบบการชาร์จแบตเตอรี่ที่เร็วกว่านี้ และอาจจะให้หัวชาร์จมาในกล่องเลยด้วย อาจทำให้เรื่องความเร็วในการชาร์จนี้ เป็นข้อสังเกตเล็กน้อยสำหรับใครที่ไม่ได้ชาร์จแบตเตอรี่ข้ามคืนบ่อย ๆ แถมยังทำให้เวลาเราใช้งาน
เรื่องการออกแบบก็เป็นอีกส่วนที่ทำได้ดีกว่าที่คิดไว้นะ ตัวเครื่องได้ใช้ดีไซน์โลหะชิ้นเดียว (Metal Unibody) ให้สัมผัสที่แข็งแรง เรียบหรู ซึ่งเราก็มักจะได้เห็นแท็บเล็ตแนว Unibody มาอยู่ในระดับราคานี้กันบ่อยขึ้นแล้วเหมือนกัน นอกจากนั้น การจัดวางกล้องหน้า Xiaomi ยังเลือกมาในแนวนอน (ด้านยาวของเครื่อง) ถือเป็นการออกแบบที่คิดมาดีมาก เพราะเหมาะสุด ๆ กับการวิดีโอคอลหรือประชุมออนไลน์ในแนวนอน ซึ่งเป็นท่าที่เราใช้งานแท็บเล็ตกันเป็นส่วนใหญ่ แถมด้วยหน้าจอที่ใช้อัตราส่วน 16:10 ซึ่งคล้ายกับหน้าจอโน้ตบุ๊กสมัยใหม่แล้ว ก็ยิ่งทำให้ Redmi Pad 2 เป็นแท็บเล็ตที่เหมาะกับการใช้งานในแนวนอนแบบสุด ๆ
ส่วนเรื่องกล้องถ่ายภาพนั้น ทั้งกล้องหน้ามา 5 ล้านพิกเซล และกล้องหลังที่ 8 ล้านพิกเซล ซึ่งถือว่าให้มาพอใช้งานได้สำหรับวิดีโอคอล ถ่ายรูปเอกสาร หรือสแกน QR Code แต่ไม่ได้เน้นเรื่องคุณภาพระดับสูง ซึ่งก็สมเหตุสมผลกับแท็บเล็ตที่ปกติเราเน้นใช้งานด้านอื่น ๆ มากกว่ากล้องถ่ายภาพในเรตราคานี้นะ
ทีนี้ Redmi Pad 2 นั้นวางจำหน่ายในไทยด้วยกัน 2 รุ่น คือรุ่น Wi-Fi และรุ่นที่ใส่ซิม 4G ได้ ซึ่งถือว่าดีนะ ที่เรามีตัวเลือกให้เลือกว่าเราจะใช้แบบแค่ Wi-Fi อย่างเดียว หรือมี 4G ด้วยดี แล้วซื้อรุ่นไหนดีกว่ากันล่ะ ?
อ่านมาทั้งหมดแล้วอาจจะสงสัยว่า “สรุปแล้ว Redmi Pad 2 เหมาะกับใคร ?” คำตอบคือ Redmi Pad 2 เครื่องนี้ เหมาะมาก ๆ สำหรับ นักเรียน นักศึกษา หรือคนที่กำลังมองหาแท็บเล็ตเครื่องแรก ที่อยากได้จอใหญ่ ๆ ภาพชัด ๆ ไว้สำหรับเรียน และเพื่อความบันเทิงเป็นหลัก ด้วยจุดเด่นทั้งหน้าจอที่สวยงาม แบตเตอรี่ที่อึดสุด ๆ และดีไซน์ที่ดูพรีเมียม ในราคาที่เข้าถึงง่าย ๆ
แม้จะมีข้อสังเกตเรื่องประสิทธิภาพ ที่อาจมีหน่วงบ้างในบางครั้ง และการชาร์จที่อาจจะช้าไปสักหน่อย แต่เมื่อเทียบกับราคาและสิ่งที่ได้มาทั้งหมด ก็ต้องบอกว่า Redmi Pad 2 เป็นหนึ่งในแท็บเล็ตที่คุ้มมาก ๆ เครื่องหนึ่งในตลาดตอนนี้เลย เหมาะกับใครที่อยากได้แท็บเล็ตจอใหญ่ไว้ดูหนัง ดูซีรีส์ หรือให้ลูกหลานใช้เรียน บางครั้งแค่ Redmi Pad 2 ก็ตอบโจทย์ได้ครบถ้วนแล้ว
Redmi Pad 2 ถือเป็นแท็บเล็ตคุ้มค่าที่ตอบโจทย์การใช้งานทั่วไปได้ดีมาก โดยเฉพาะสำหรับนักเรียน นักศึกษา หรือใครที่ต้องการแท็บเล็ตสายบันเทิง ทั้งให้หน้าจอความละเอียด 2.5K แบตฯ อึด ๆ และดีไซน์ที่ดูพรีเมียมในราคาที่เข้าถึงง่าย แต่แลกด้วยประสิทธิภาพที่เหมาะกับการใช้งานพื้นฐาน และความเร็วในการชาร์จที่อาจจะช้าไปสักหน่อยก็ตาม มาลองดูว่าแท็บเล็ตเครื่องนี้มีอะไรน่าสนใจอีกบ้าง